ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเมืองอยู่หลายแห่งที่สวยงาม และน่าค้นหาอยู่หลายแห่งที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อย หนึ่งในเมืองประเภทดังกล่าวที่น่าสนใจมากๆ คือเมืองโจเอ็ตสึ (Joetsu) แห่งจังหวัดนีงาตะครับ เมืองนี้เป็นเมืองริมทะเลที่มีชื่อเสียงเรื่องผลผลิตข้าว นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอีกด้วย
ในบทความนี้ผมจะอธิบายถึงความเป็นมาของเมืองนี้ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่เที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของเมืองโจเอ็ตสึ (Joetsu)
เมืองโจเอ็ตสึตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดนีงาตะ เพราะฉะนั้นจะอยู่ติดกับจังหวัดนากาโน่ที่มีภูเขาหิมะสวยงาม ดังนั้นเมืองโจเอ็ตสึจึงมีภูมิประเทศแบบเดียวกัน นั่นคือล้อมรอบด้วยภูเขาสูงถึงสี่ลูกได้แก่ คาสึกะยามะ คานายะซัง โยเนยามะ และฮิชิกาตาเกะ-ยามะครับ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าโจเอ็ตสึมีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว โดยมีการค้นพบสุสานและอาคารหลายแห่งอายุหลายพันปี ในยุคนารา โจเอ็ตสึได้กลายเป็นเมืองและมีสถานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเอจิโกะ (Echigo Province)
ต่อมาช่วงยุคเซ็นโกกุนั้น โจเอ็ตสึได้กลายเป็นเมืองปราสาทที่แข็งแกร่งและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะเป็นที่ตั้งของปราสาทคาสึกะยามะ (Kasugayama Castle) ฐานที่มั่นของตระกูลอุเอะสึกิ หนึ่งในไดเมียวที่ทรงอำนาจที่สุดในเวลานั้น
หลังจากนั้นโจเอ็ตสึได้ถูกลดความสำคัญลง ตัวเมืองถูกปกครองโดยไดเมียวหลายตระกูลสลับกันไปจนกระทั่งรัฐบาลเมจิยกเลิกระบอบดังกล่าวไป โจเอ็ตสึจึงไม่ได้มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ใดๆอีก ยกเว้นแต่ว่าเป็นสถานที่แห่งแรกที่ชาวต่างชาตินำกีฬาสกีเข้ามาเผยแพร่ในญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และเป็นสถานที่ตั้งของค่ายกักกันเชลยศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น
อย่างไรก็ดีโจเอ็ตสึได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าและอุตสาหกรรมของจังหวัดนีงาตะ และแน่นอนว่าเป็นประตูสู่เมียวโกะ (Mt.Myoko) สกีรีสอร์ทยอดนิยมแห่งหนึ่งของภูมิภาคโทโฮคุครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังเมืองโจเอ็ตสึ
จากโตเกียว คุณสามารถเดินทางไปยังเมืองโจเอ็ตสึได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
Hokuriku Shinkansen + รถไฟท้องถิ่น – วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุด โดยคุณสามารถนั่งรถไฟ Hokuriku Shinkansen (ขบวน Hakutaka เท่านั้น) จากโตเกียวไปยังสถานี Joetsumyoko Station (อยู่ที่ชานเมืองโจเอ็ตสึ) หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟท้องถิ่น (Myoko Haneuma Line) ไปยังสถานี Naoetsu หรือ Takada เพื่อไปยังตัวเมืองครับ
สำหรับใครที่ไปเที่ยวเมืองอื่นที่ Hokuriku Shinkansen วิ่งผ่าน อย่างเช่นคานาซาว่า, โทยามะ, อุเอดะ หรือ คารุอิซาวะ คุณสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้เดินทางไปยังเมืองโจเอ็ตสึได้ครับ
เช่ารถขับ – อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือการเช่ารถขับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชอบขับรถชมวิวครับ เมืองโจเอ็ตสึอยู่ห่างจากโตเกียว 260-300 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะผ่านจังหวัดนากาโน่หรือไม่ผ่าน ถ้าไม่ผ่านจะเร็วกว่าครับ)
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ JNTO และ Enjoy Niigata (เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะ) แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นโปรดตรวจสอบที่เว็บไซต์ต้นทางก่อนออกเดินทางครับ
1. ชมซากุระที่สวนทากาดะ
สวนทากาดะ (Takada Park) เคยเป็นที่ตั้งของปราสาททากาดะ (Takada Castle) ปราสาทยุคเอโดะที่สร้างโดยมัตสึไดระ เทดะเทรุ บุตรชายของโตกุกาวะ อึเอยาสึที่เกิดจากสนม แต่น่าเสียดายที่อาคารเดิมของตัวปราสาทไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน เพราะถูกทำลายจากทั้งภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ และนโยบายของรัฐบาลเมจิเองที่ให้รื้อถอนปราสาทของเหล่าไดเมียวไปจนหมดครับ
ปัจจุบันในสวนจึงเหลือแต่ตัวหอคอยที่สร้างขึ้นในยุคหลังเพียงเท่านั้น แต่กลับมีต้นซากุระจำนวนมากมายถึง 4,000 ต้นที่ทางเมืองได้ปลูกขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะสวยมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้บ่อยครั้งที่สวนแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็น 1 ใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดของประเทศครับ
ในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟด้วย ซึ่งต้นซากุระจะสวยยิ่งไปกว่ากลางวันเสียอีกครับ
สำหรับช่วงฤดูร้อนนั้นจะไม่มีซากุระให้ชม แต่ในสระของสวนทากาดะจะมีดอกบัวสีชมพูนับพัน ซึ่งจะผลิดอกอย่างสวยงามจนเต็มสระให้ได้ชมอย่างเต็มอิ่มเลยครับ
2. ชมวิวที่ภูเขาคาสึกะ
ภูเขาคาสึกะ (Mt.Kazuka) เป็นภูเขาที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทคาซุกะยามะอันยิ่งใหญ่ของตระกูลอุเอสึกิ แต่ตัวปราสาทถูกทิ้งไปในช่วงยุคเซ็นโกกุ ในปัจจุบันจึงไม่เหลือสิ่งก่อสร้างของเดิมหลงเหลืออยู่ ยกเว้นแต่รางน้ำบางส่วน และศาลเจ้าชินโตอันเงียบสงบที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1901 เท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดีถ้าขึ้นไปด้านบนสุด คุณจะเห็นวิวเมืองโจเอ็ตสึแบบพาโนรามา รวมไปถึงภูเขาหิมะโดยรอบด้วย ซึ่งสวยงามมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีใกล้กับบริเวณภูเขามีวัดรินเซ็นจิ (Rinsenji Temple) ตั้งอยู่ วัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่อุเอะสึกิ เก็นชินศึกษาเล่าเรียน และในปัจจุบันได้เก็บรักษาโบราณวัตถุและตัวประตูของปราสาทคาสึกะยามะไว้ด้วย ซึ่งคุณสามารถชมได้ครับ
ในเดือนสิงหาคมของทุกปี ภูเขาแห่งนี้จะมีการจัดเทศกาลชื่อ Kenshin Festival ซึ่งระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของอุเอะสึกิ เก็นชิน โดยชาวเมืองกว่าหนึ่งพันคนจะสวมใส่เครื่องแต่งกายเป็นซามูไรเหมือนกับในยุคเซ็นโกกุ
เทศกาลแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลให้เข้ามาที่เมืองโจเอ็ตสึ โดยในบางปีมีผู้เข้าชมถึงสองแสนคนเลยทีเดียวครับ
3. เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ Peace Memorial Park
อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้วด้านบน โจเอ็ตสึเคยเป็นที่ตั้งของค่ายกักกันเชลยศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นที่ Peace Memorial Park จะเล่าเรื่องราวของเชลยศึกทหารพันธมิตรซึ่งส่วนมากเป็นชาวออสเตรเลียครับ
คุณจะได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนความโหดร้ายของสงครามที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก ที่นี่ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ลักษณะนี้ไม่กี่แห่งในประเทศญี่ปุ่นครับ
4. เล่นสกีที่คานายะซัง
คานายะซัง (Kanayasan) เป็นลานสกีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเล่นสกีในญี่ปุ่น โดยนายทหารชาวออสเตรียได้สอนให้ชาวญี่ปุ่นเล่นสกี ณ ที่แห่งนี้เป็นที่แรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ครับ
ในปัจจุบันแน่นอนว่าที่นี่ยังได้รับความนิยมอยู่ ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมักเดินทางมาเล่นสกีกันที่นี่ในช่วงฤดูหนาวครับ
5. ชมเพนกวินที่ Joetsu Aquarium Umigatari
Joetsu Aquarium Umigatari เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์น้ำจำนวนมากมายที่คุณสามารถเข้าชม ศึกษา และเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกเพนกวิน Megallan ที่มีมากกว่าที่ใดในประเทศญี่ปุ่นครับ
References
- JNTO
- Enjoy Niigata