หุบเขาคิโซะ (Kiso Valley, 木曽路) หรือคิโซะจิ เป็นหุบเขาอันสวยงามที่ตั้งอยู่ในย่านภูเขาสูงของจังหวัดนากาโน่ ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสำคัญอย่างนากาเซนโดะ (Nakasendo) ที่เชื่อมเมืองหลวงเก่าอย่างเกียวโต และเมืองหลวงใหม่อย่างเอโดะครับ
ด้วยเหตุนี้หุบเขาคิโซะจึงหลงเหลือหมู่บ้านสวยๆ แบบสมัยเอโดะอยู่หลายแห่ง ซึ่งรอคุณได้เข้าไปสัมผัส เพราะฉะนั้นใครที่หลงรักวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งคุณไม่ควรพลาดเลยครับ
หุบเขาคิโซะและทางหลวงนากาเซนโดะ
ย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่ 17 ตระกูลโตกุกาวะได้สถาปนารัฐบาลโชกุนขึ้นปกครองประเทศ และได้มีการย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเกียวโตมายังเอโดะ
ดังนั้นเพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านดำเนินไปอย่างราบรื่น รวมไปถึงเพื่อให้ได้ซึ่งประโยชน์ทางด้านการปกครองให้มีประสิทธิภาพ รัฐบาลโชกุนจึงได้สร้างทางหลวงขนาดใหญ่ขึ้นมาห้าสายด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือทางหลวงนากาเซนโดะแห่งนี้นี่เองครับ
ทางหลวงนากาเซนโดะมีความยาวทั้งสิ้น 534 กิโลเมตร โดยตัดผ่านหุบเขาคิโซะของจังหวัดชินาโนะ (นากาโน่ในปัจจุบัน) ตลอดเส้นทางมีเมืองที่พักนักเดินทางถึง 69 แห่ง โดย 11 แห่งนี้อยู่ในบริเวณหุบเขาคิโซะครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวหุบเขาคิโซะทำอย่างไร?
นักเดินทางส่วนมากจะเริ่มต้นทริปที่เมืองนาโกย่า และเดินทางต่อไปยังปากทางของหุบเขาคิโซะซึ่งมีสถานีรถไฟหลัก นั่นก็คือ Kiso Fukushima Station โดยใช้บริการ JR Shinano Limited Express ครับ ระยะเวลาที่ใช้จะอยู่ที่ประมาณ 90 นาที
วิธีเดียวกันนี้สามารถใช้เดินทางมาจากเมืองที่รถไฟสายนี้ผ่านอย่างมัตสึโมโตะ หรือว่านากาโน่ (Nagano City) ได้เช่นกัน
หลังจากนั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟท้องถิ่นอย่าง Chuo Main Line และรถบัสของ Ontake Kotsu ควบคู่กันเพื่อเดินทางไปอย่างจุดหมายอื่นๆ ในหุบเขาครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องตรงต่อเวลา เพราะว่าทั้งรถบัสและรถไฟมีให้บริการไม่มากนัก
อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการเดินทางไปยังที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างมาโกเมะหรือสึมาโกะโดยตรง คุณจะต้องลงรถไฟที่สถานี Nakatsugawa Station หรือ Nagiso Station (ตามลำดับ) หลังจากนั้นก็ต่อรถบัสของ Ontake Kotsu เข้าไปประมาณ 30 นาทีครับ
อีกตัวเลือกที่น่าสนใจคือการเช่ารถขับ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาทีจากนาโกย่าครับ วิธีนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะจะตัดปัญหาไม่มีรถ และคุณยังสามารถขับไปเที่ยวที่อื่นอย่างเช่น คามิโคจิ, ฮาคุบะ, โนริคุระ ฯลฯ ได้อีกด้วย
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Kisoji.com (เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวคิโซะ) โปรดตรวจสอบข้อมูลที่ต้นทางอีกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลเปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ
ไปเที่ยวหุบเขาคิโซะช่วงไหนดี?
หุบเขาคิโซะเที่ยวได้ทุกฤดู และมีความสวยที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีซากุระให้ได้ชม ช่วงฤดูร้อนนั้นอากาศจะเย็นสบาย เหมาะกับการเดินเทรคตามทางหลวงนากาเซนโดะ รวมไปถึงชมเทศกาลต่างๆ
ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ทั่วทั้งหุบเขาจะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มสีแดงไปทั่วบริเวณ ดังนั้นจะสวยงามมากครับ ท้ายที่สุดช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่นักเดินทางมักจะมาเล่นสกี รวมไปถึงชมความงามของยอดเขาออนตาเกะ (Mt.Ontake) ครับ
1. มาโกเมะ-สึมาโกะ
มาโกเมะ (Magome) และสึมาโกะ (Tsumago) เป็นเมืองที่พักนักเดินทางที่จัดว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดในทางหลวงนากาเซนโดะ
ภายในเมืองทั้งสองที่อยู่ใกล้กันนั้นยังมีบ้านเรือนแบบเอโดะให้ชมอย่างเต็มเปี่ยม ปัจจุบันตัวบ้านได้กลายเป็นร้านอาหาร ร้านน้ำชา ตลอดจนร้านขายสินค้าต่างๆ ที่ให้คุณได้สัมผัสกลิ่นอายแบบดั้งเดิมครับ
ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวมักจะเดินเทรคระหว่างสองเมืองนี้ ซึ่งทางหลวงส่วนนี้จะยาวประมาณ 8 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ ถ้ามีสัมภาระมากก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีบริการลูกหาบที่จะแบกสัมภาระของคุณไปส่งล่วงหน้าครับ
2. นาราอิ
นาราอิ (Narai) ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางของทางหลวงนากาเซนโดะทั้งสาย เพราะฉะนั้นนักเดินทางในอดีตจึงเลือกพักที่เมืองแห่งนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในหุบเขาคิโซะไปโดยปริยาย เคยมีคำกล่าวว่านาราอินั้นมีที่พักนับพันแห่งเลยทีเดียว
ปัจจุบันบ้านเก่าสถาปัตยกรรมเอโดะในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังได้รับการรักษาเป็นอย่างดี คุณสามารถเดินเข้าไปชมบ้านพักของชาวเมืองผู้มั่งคั่งหลายหลัง แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นสะพานนาราอิคิโซะ (Narai Kiso Bridge) หนึ่งในสะพานไม้ที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นครับ
3. ยอดเขาออนตาเกะ
ด้วยความสูงกว่า 3,067 เมตร ทำให้ยอดเขาออนตาเกะ (Mt.Ontake) เป็นภูเขาไฟที่สูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ รวมไปถึงเป็นที่สักการะบูชาของชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณกาลครับ ที่นี่ยังรองรับผู้แสวงบุญที่มีจิตศรัทธาตลอดทั้งปีครับ
อย่างไรก็ดีเมื่อกาลเวลาผ่านไป ยอดเขาออนตาเกะก็ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของหุบเขาคิโซะด้วย นักเดินทางจำนวนมากมายมาชมทัศนียภาพอันสวยงาม พร้อมๆ กับเล่นกิจกรรมฤดูหนาวอื่นๆ เรื่องความสวยนั้นอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าสถานที่อย่างคามิโคจิเลยครับ
สำหรับใครที่อยากจะชมวิวภูเขาไฟแห่งนี้ให้สวยที่สุด คุณสามารถขึ้นกระเช้า Ontake Ropeway ที่จะพาคุณขึ้นไปยังสถานีที่ 7 ซี่งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,150 เมตรได้ จากจุดนี้คุณจะเห็นยอดเขาออนตาเกะได้อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงยอดอื่นๆ อย่างเช่น ยอดเขาโนริคุระด้วยครับ
ใกล้กับตัวภูเขาไฟมีหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อหมู่บ้านโอตากิ (Otaki Village) ตั้งอยู่ ที่นี่เป็นที่พักของเหล่าผู้แสวงบุญในอดีตกาล ตัวหมู่บ้านมีทะเลสาบชิเซ็นโกะ (Lake Shizenko) ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปพายเรือกัน และศาลเจ้าตั้งอยู่หลายแห่งที่น่าเข้าไปเยี่ยมเยือนครับ
สำหรับใครที่เหลือเวลาและอยากได้ประสบการณ์แบบผู้แสวงบุญ คุณสามารถไปเข้าร่วมกิจกรรมทำสมาธิกับสายน้ำตก (Waterfall Meditation) ที่น้ำตกคิโยตากิ (Kiyotaki Waterfall) ครับ
โดยคุณจะได้ไปนั่งหรือยืนทำสมาธิ และให้สายน้ำตกที่เย็นสดชื่นไหลผ่านตัวคุณ ในอดีตผู้แสวงบุญจะทำพิธีนี้เพื่อชำระล้างร่างกาย ก่อนที่จะขึ้นไปยังยอดเขาออนตาเกะครับ
4. ชมโตรกอันสวยงาม
หุบเขาคิโซะนั้นมีโตรกอันสวยงามหลายแห่งที่มีลำธารใสสะอาดไหลผ่าน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ต้นไม้ต่างๆจะเปลี่ยนสี ทำให้วิวทิวทัศน์ของโตรกเหล่านี้สวยงดงามอย่างมากเลยครับ
โตรกที่น่าสนใจได้แก่
หุบเขาอาเตระ (Atera Valley) – หุบเขาที่มีโตรกสวยที่มีจุดเด่นอยู่ที่พื้นหินขาวสะอาด ซึ่งทำให้สีของน้ำและธรรมชาติโดยรอบชัดเจนยิ่งไปอีก เหมาะที่สุดกับการถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีในวันฟ้าใสครับ
โตรกคาคิโซเระ (Kakizore Gorge) – โตรกสวยที่มีน้ำสีมรกตตัดผ่าน และมีจุดเด่นอยู่ที่มีน้ำตกอุชิกาตากิ (Ushigataki Falls) ไหลลงมาด้วย เกิดเป็นบรรยากาศที่สวยงามและผ่อนคลายครับ
โตรกเนซาเมะ โนะ โตโกะ (Nezame no Toko Gorge) – โตรกหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะโดยลำธาร จนเกิดเป็นทัศนียภาพอันแปลกตาครับ
5. ที่ราบสูงไคดะ
ที่ราบสูงไคดะ (Kaida Plateau) เป็นที่ราบที่มียอดเขาออนตาเกะเป็นฉากหลัง ทำให้วิวบริเวณนี้สวยสุดๆ ในช่วงฤดูหนาว ที่นี่จะกลายเป็นสกีรีสอร์ทขนาดย่อม ซึ่งคุณสามารถเล่นกิจกรรมฤดูหนาวอย่างเช่น สกี สโนว์โมบิล รวมไปถึงขี่ม้าชมวิวได้อย่างอิสระ
ม้าของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะเป็นม้าพันธุ์คิโซะที่เคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่รัฐบาลและชาวบ้านได้อนุรักษ์อย่างดี จนทำให้เพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับครับ
ใกล้กับบริเวณที่ราบสูงแห่งนี้มีจุดชมปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเสาน้ำแข็งชิราคาว่า (Shirakawa Ice Pillars) กล่าวคือน้ำที่ไหลมาตามหน้าผาจะแข็งเป็นน้ำแข็ง จนกลายเป็นดูเหมือนเสาที่สูงถึง 50 เมตรทีเดียวครับ
6. เมืองที่พักนักเดินทางอื่นๆ
นอกจากเมืองที่ผมแนะนำไปแล้ว 3 เมือง ในหุบเขาคิโซะยังมีเมืองที่พักนักเดินทางอีก 8 แห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
- นิเอะกาวะ (Niekawa)
- ยาบุฮาระ (Yabuhara)
- มิยาโนะโคชิ (Miyanokoshi) – เมืองเก่าของตระกูลคิโซะ ซึ่งมีวัดประจำตระกูลตั้งอยู่
- คิโซะฟุกุชิมะ (Kiso-Fukushima) – อดีตเมืองที่เป็น checkpoint ที่คอยตรวจสอบเฝ้าระวังการเดินทางต่างๆ ของนักเดินทาง
- อาเกะมัตสึ (Agematsu) – เมืองอันเป็นที่ตั้งของสะพานคิโซะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นจุดที่อันตรายที่สุดตลอดทางหลวงนากาเซนโดะ
- สึฮาระ (Suhara) – เมืองที่พักที่เก่าที่สุดในหุบเขาคิโซะ มีจุดเด่นที่ถนนจะกว้างกว่าที่อื่น
- โนจิริ (Nojiri)
- มิโดโนะ (Midono) – มีสะพานแขวนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
แจกตัวอย่างทริปคิโซะ
ผมได้จัดทริปคิโซะคร่าวๆ ไว้แล้ว ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการเดินทางของคุณได้ครับ และปรับเปลี่ยนได้ตามที่ต้องการ แต่โปรดทราบว่าหุบเขาคิโซะนั้นถือว่าเป็นส่วนที่จัดว่าเป็นชนบทของญี่ปุ่น ดังนั้นที่พักในบางคืนจะไม่ได้ดีไปกว่าเกสต์เฮ้าส์ นอกจากนี้ยังใช้พละกำลังในการเดินมากกว่าทริปทั่วไป (โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเดินตามทางหลวงนากาเซนโดะ) ครับ
นอกจากนี้โปรดตรวจสอบวิธีการเดินทางอีกรอบหนึ่งด้วย เพราะผู้ให้บริการมีโอกาสเปลี่ยนได้ทุกเวลาครับ
References
- Kisoji
- Kiso Ontake Tourism Office