นาโกย่า (Nagoya) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดไอจิ (Aichi Prefecture) และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ถ้ารวมบริเวณโดยรอบทั้งหมดแล้ว เมืองแห่งนี้จะมีประชากรถึงสิบล้านคนเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และกิจกรรมที่น่าสนใจก็มีมากตามไปด้วย ซึ่งผมจะมาแนะนำให้ทุกคนได้ทราบในบทความนี้ แต่ก่อนอื่น เราไปดูประวัติความเป็นมาของเมืองนี้กันก่อนครับ
ประวัติความเป็นมาของเมืองนาโกย่า (Nagoya)
นาโกย่าเป็นเมืองที่เก่าแก่มาก นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบโบราณสถานที่มีความเป็นมาย้อนไปถึงสมัยโจมง (Jomon Period) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเมืองได้มีผู้คนอาศัยมานานหลายพันปีแล้วครับ
ต่อมาในช่วงยุคโกฟุน (Kofun Period, 300 BC – 538 AD) นาโกย่าเริ่มมีสถานะเป็นเมือง หนึ่งในศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่นอย่างศาลเจ้าอัตสึตะ (Atsuta Shrine) ได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่เพื่อเก็บรักษาดาบคุซะนากิ โนะ สึรุกิ (Kusanagi no Tsurugi) หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของญี่ปุ่นครับ
หลังจากนั้นตัวเมืองก็ได้เติบโตขึ้นตามลำดับในสมัยเฮอัน ต่อมาในช่วงยุคเซ็นโกกุ นาโกย่าเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งเลยก็ว่าได้ ยุทธการสำคัญหลายแห่งได้เกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณนี้ ทำให้บริเวณโดยรอบเสียหายไปไม่น้อย
ต่อมาในช่วงยุคเอโดะ รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะได้มีคำสั่งให้ย้ายศูนย์กลางของเมืองจากพื้นที่คิโยสุ (Kiyosu) มายังศูนย์กลางของเมืองนาโกย่าในปัจจุบัน และได้สร้างปราสาทนาโกย่าขึ้น หลังจากนั้นตัวเมืองจึงขยายออกไปโดยมีปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางครับ และเจริญขึ้นตามลำดับเพราะเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
การช่วงยุคเมจิ นาโกย่าได้กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรม รวมไปถึงยานพาหนะและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ บริษัทมิตซูบิชิโคบูกิซึ่งเป็นบริษัทเครื่องบินรบอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นก็เปิดทำการที่เมืองแห่งนี้ และได้ผลิตเครื่องบินขับไล่อันดับต้นๆ ของสงครามโลกครั้งที่สองอย่าง A6M “Zero” ที่หลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดีครับ
ด้วยความที่เป็นเมืองอุตสาหกรรม ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่านาโกย่าจะถูกทิ้งระเบิดหนักมากในช่วงสงคราม แม้กระทั่งปราสาทนาโกย่าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ตัวเมืองจึงผ่านช่วงสงครามมากับความเสียหายที่เรียกว่าย่อยยับ
อย่างไรก็ดีหลังช่วงสงคราม ชาวญี่ปุ่นก็ได้ฟื้นฟูตัวเมืองให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นาโกย่าได้กลับมาเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมตามเดิมและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้งานประชุมหรืออีเวนต์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมมักจะจัดขึ้นที่เมืองนาโกย่าอย่างมากมายครับ
การเดินทางไปเที่ยวนาโกย่า (Nagoya)
นาโกย่ามีสนามบินนานาชาติ ดังนั้นคุณสามารถบินจากกรุงเทพไปที่เมืองนาโกย่าได้โดยตรงครับ
ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ การเดินทางมายังนาโกย่าจากเมืองต่างๆ ถือว่าสะดวกสบายมาก อย่างถ้าคุณมาจากโตเกียว คุณมีตัวเลือกดังต่อไปนี้ครับ
- Tokaido Shinkansen – ชินคันเซนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางระหว่างนาโกย่าและโตเกียว เพราะใช้เวลาเพียง 100-110 นาที คุณก็มาถึงเมืองนาโกย่าแล้ว ส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 10,560 เยนครับ
- รถบัส – สำหรับใครที่ประหยัดค่าใช้จ่าย คุณสามารถนั่งรถบัสจากโตเกียวมายังนาโกย่าได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง แน่นอนว่าช้ากว่าชินคันเซน แต่ราคาก็ถูกกว่ามากด้วย เพราะเริ่มต้นที่ 2,000 เยนเท่านั้นเองครับ นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกออกเดินทางตอนกลางคืนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าที่พักไปอีกคืนหนึ่งด้วย
- เช่ารถขับ – ส่วนใครที่เช่ารถขับในญี่ปุ่นอยู่แล้ว คุณสามารถขับจากโตเกียวมาเที่ยวนาโกย่าและจังหวัดไอจิได้ โดยระยะทางอยู่ที่ 360 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงครับ
1. ชมปราสาทนาโกย่า
ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีที่มีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงในสมัยเอโดะ ตัวปราสาทได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นทั้งด้านนอกและด้านในครับ แม้ว่าสิ่งที่คุณเห็นในปัจจุบันจะเป็นสิ่งที่เพิ่งจะสร้างใหม่ในช่วงปี ค.ศ.1959 ก็ตาม
อย่างไรก็ดีตัวปราสาทหลัก (Main Tower Keep) ซึ่งเคยจัดแสดงงานศิลปะของเดิมที่รอดพ้นการทิ้งระเบิดมาได้นั้นได้ปิดตัวลงไปแล้วในปี ค.ศ.2018 เพราะอายุที่เริ่มมากขึ้น และวัสดุที่สร้างหลังสงครามไม่สามารถทนต่อแผ่นดินไหวอย่างเพียงพอ ทางเมืองนาโกย่าวางแผนจะสร้างปราสาทแห่งใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยใช้วัสดุและโครงสร้างเดิมของปราสาทเก่าก่อนที่จะถูกทำลายครับ ซึ่งตามกำหนดการณ์จะเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.2028
แม้ว่าคุณจะเข้าชมในส่วนตัวปราสาทหลักไม่ได้ แต่ส่วนอื่นที่งดงามยังเข้าไปชมได้อยู่ อาทิเช่น
วังฮอนมารุ (Honmaru Palace) – วังที่ใช้เป็นที่พำนักของไดเมียวโตกุกาวะแห่งโอวาริ ซึ่งด้านในสร้างโดยใช้ไม้ฮิโนกิอันล้ำค่า และมีการตบแต่งที่สวยงามมากตามแบบดั้งเดิมสมัยเอโดะ
ตัววังเก่าถูกทำลายอย่างสิ้นซากในช่วงสงคราม แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้บูรณะใหม่เสร็จสิ้นในช่วงปี ค.ศ.2018 ซึ่งคุณสามารถเข้าไปชมได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่นห้ามใส่รองเท้า ห้ามใช้แฟลช ฯลฯ
สวนเมโจโคเอ็น (Meijo-Koen) – สวนสวยๆ ของปราสาทนาโกย่า ที่นี่เป็นจุดชมซากุระและดอกไม้อื่นๆ ที่สวยที่สุดของเมือง ถ้าคุณมาเที่ยวนาโกย่าช่วงฤดูใบไม้ผลิ การมาชมดอกไม้ที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดครับ
สวนนิโนะมารุ (Ni-no-maru Garden) – ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของวังนิโนะมารุ ปัจจุบันที่นี่เป็นสวนแบบญี่ปุ่นอันสวยงามที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ยอดเยี่ยมของเมืองครับ
นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีประตูและหอคอยทรงญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่สวยงามอยู่หลายแห่ง หอคอยเหล่านี้ถูกใช้เป็นจุดรักษาการณ์ของทหารรักษาปราสาทเพื่อป้องกันความปลอดภัย รวมไปถึงเก็บอาวุธครับ
- ค่าเข้าชม: 500 เยน (อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของปราสาทนาโกย่า)
- วิธีเดินทาง: ใช้รถไฟใต้ดินสาย Meijo Line ลงที่สถานี Shiyakusho (M07) หรือสาย Tsurumai Line ลงสถานี Sengencho (T05)
2. ชมศาลเจ้าอัตสึตะอันศักดิ์สิทธิ์
ศาลเจ้าอัตสึตะ (Atsuta Shrine) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอายุเกือบสองพันปี และเป็นที่เคารพนับถือสูงสุดของชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาชินโต เพราะที่นี่อุทิศให้กับเทพเจ้าทั้งห้าแห่งอัตสึตะ ซึ่งรวมไปถึงเทพีแห่งดวงอาทิตย์อามาเตระสุ (Amaterasu)
ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังเป็นที่เก็บรักษาดาบในตำนานอย่างคุซะนากิ โนะ สึรุกิ ซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของจักรพรรดิญี่ปุ่น และใช้ประกอบพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ดาบเล่มนี้ชาวญี่ปุ่นโบราณถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าเล่มอื่นใดครับ
ดังนั้นชาวญี่ปุ่นรวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง ก็ต่างเดินทางมาสักการะตัวศาลเจ้าแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ในปัจจุบันมีผู้เดินทางมาแสวงบุญยังศาลเจ้าแห่งนี้ 7-9 ล้านคนทุกปี
นอกจากตัวศาลเจ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือพิพิธภัณฑ์หลักของศาลเจ้า (Atsuta Jinja Museum) ซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุกว่า 4,000 ชิ้นด้วยกัน ส่วนมากแล้วเป็นของใช้ของจักรพรรดิ โชกุน รวมไปถึงชนชั้นสูงต่างๆ ครับ
อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจคือพิพิธภัณฑ์ดาบญี่ปุ่นซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานนัก ซึ่งคุณสามารถเดินเข้าไปชมดาบญี่ปุ่นแบบต่างๆ ที่ทางศาลเจ้าได้เก็บรักษาไว้ครับ
บรรยากาศรอบศาลเจ้านั้นร่มรื่น และปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย บางต้นเชื่อกันว่ามีอายุนานกว่า 1,300 ปีเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสระน้ำ ซึ่งช่วยให้บรรยากาศน่านั่งเล่นอย่างมากเลยครับ
ตลอดทั้งปีศาลเจ้าอัตสึตะจะจัดเทศกาลแทบทุกเดือน ดังนั้นถ้าคุณเดินทางไปช่วงนั้นก็อย่าลืมเข้าชมครับ
- ค่าเข้าชม: ฟรี (ศาลเจ้า), 500 เยน (พิพิธภัณฑ์ดาบ)
- วิธีการเดินทาง: นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Jingu-Nishi แล้วเดินเท้าไปอีก 7 นาที หรือ JR Tokaido Line ไปลงสถานี Atsuta แล้วเดินไปอีก 10 นาที (อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของศาลเจ้า)
3. ชมของเก่าที่ Tokugawa Art Museum
ในนาโกย่ามีพิพิธภัณฑ์อยู่หลายแห่ง แต่แหล่งที่ไม่ควรพลาดคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะโตกุกาวะ (Tokugawa Art Museum) แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชอบประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกกุครับ
ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นในสถานที่พำนักเดิมของไดเมียวโตกุกาวะ ในปัจจุบันที่นี่เก็บรักษาโบราณวัตถุของตระกูลโตกุกาวะไว้ถึง 10,000 ชิ้นด้วยกัน ตั้งแต่เสื้อเกราะ ดาบ หน้ากาก และอื่นๆ อีกมากมายครับ
ค่าเข้าชม: 200 เยน
4. ชมความงามของสวนโตกุกาวะเอ็น
สวนโตกุกาวะเอ็น (Tokugawaen) ตั้งอยู่ใกล้กับ Tokugawa Art Museum ในอดีตที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่พักตากอากาศของตระกูลโตกุกาวะสายโอวาริ แต่ถูกทำลายยับเยินในช่วงสงคราม ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้บูรณะและสร้างสวนญี่ปุ่นขึ้นมาแทนที่ โดยเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.2004 ครับ
ปัจจุบันในตัวสวนมีทะเลสาบขนาดใหญ่ สะพานไม้ และอาคารแบบญี่ปุ่นที่สวยงามหลายหลัง ตัวสวนถือว่าสวยงามมากทั้งสี่ฤดู แต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยเป็นพิเศษครับ
5. ช้อปปิ้งและชมวัดเจ้าแม่กวนอิมที่ย่านโอสึ
Osu Shopping District เป็นถนนคนเดินและย่านช้อปปิ้งที่มีร้านค้าและร้านอาหารมากมายกว่า 1,200 ร้าน โดยมีขายตั้งแต่อาหารไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งคุณสามารถหาของที่ระลึกไปจนถึงลิ้มรสอาหารชั้นเลิศของนาโกย่าที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดครับ
ในย่านเดียวกันนั้นจะมีวัดเจ้าแม่กวนอิมอย่าง Osu Kannon Temple ตั้งอยู่ ในอดีตวัดแห่งนี้เคยอยู่ที่จังหวัดกิฟุ แต่โตกุกาวะ อิเอยาสึได้สั่งให้ย้ายมาตั้งอยู่ที่นาโกย่าในช่วงศตวรรษที่ 17 ครับ แต่ตัววัดเดิมก็เหลือไม่มากนักแล้วเพราะได้รับความเสียหายจากทั้งน้ำท่วมและช่วงสงครามครับ
ปัจจุบันด้านในมีรูปปั้นไม้ขององค์เจ้าแม่กวนอิม (หรือ Kannon ในภาษาญี่ปุ่น) และมีห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เก็บทั้งคัมภีร์และบันทึกทางประวัติศาสตร์มากมาย โดยเฉพาะตำนานปรัมปราโคจิกิ (Kojiki) ฉบับเก่าแก่ที่สุดครับ
6. ชมสวนโนริตาเกะ
สวนโนริตาเกะ (Noritake Garden) เป็นสวนอันร่มรื่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนาโกย่า แต่สวนแห่งนี้จะต่างจากสวนอื่นๆ เพราะเป็นสถานที่คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเซรามิกและเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงของเมือง ในอดีตจุดนี้เคยเป็นที่ตั้งของโรงงานของบริษัทโนริตาเกะซึ่งผลิตสิ่งของเหล่านี้อันดับต้นๆ ของประเทศครับ
ดังนั้นคุณสามารถเข้าชมกระบวนการต่างๆ ในการผลิตได้ และชมผลงานที่บริษัทได้รังสรรค์มาตลอดระยะเวลามากกว่า 1 ศตวรรษครับ
- ค่าเข้าชม: ฟรี (เฉพาะสวน) 500 เยน (พิพิธภัณฑ์)
7. ศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ Nagoya City Science Museum
ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่มีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ชั้นยอด ซึ่ง Nagoya City Science Museum หรือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นาโกย่าถือว่าไม่แพ้ที่ใดในญี่ปุ่น เพราะมีหนึ่งในท้องฟ้าจำลอง (Planetariums) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยครับ
ด้านในพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงการทดลองและความรู้หลายสาขาครอบคลุมวิทยาศาสตร์ทั่วไปไปจนถึงการคมนาคมอย่างเช่นเรื่องรถไฟ เรียกว่าถ้าเด็กๆ ไปจะต้องตื่นตาตื่นใจมากเลยทีเดียวครับ
ค่าเข้าชม: 400 เยน (แต่ถ้ารวมท้องฟ้าจำลองด้วยอยู่ที่ 800 เยน) อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์
8. ชมวัดอื่นๆ ในเมืองนาโกย่า
นอกเหนือจากวัดและศาลเจ้าที่ผมแนะนำไปแล้วนั้น ในนาโกย่ายังมีวัดและศาลเจ้าอีกหลายแห่งที่น่าสนใจอาทิเช่น
- วัดโทกันจิ (Toganji Temple) – วัดเก่าแก่อันเป็นที่เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปปางนั่ง ซึ่งสูงถึง 15 เมตรด้วยกัน แต่ที่น่าแปลกคือตัววัดมีทั้งศิวลึงค์ไปจนถึงศาลเจ้าของพระสุรัสวดีอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าช่วยชำระบาปได้ครับ
- วัดโคโชจิ (Koshoji Temple) – วัดที่สร้างโดยตระกูลโตกุกาวะในสมัยเอโดะ จุดเด่นของที่นี่คือเจดีย์ที่สวยงามห้าชั้น และเทศกาลโคมไฟพันดวงที่จัดในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปีครับ
9. ช้อปปิ้งและชมวิวที่ย่านซากาเอะ (Sakae)
ย่านซากาเอะ (Sakae) เป็นย่านการค้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนาโกย่า ภายในย่านแห่งนี้มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ตลอดจนร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ ดังนั้นสายช้อปปิ้งเรียกได้ว่าห้ามพลาดมาเยือนเลยครับ โดยเฉพาะห้างขนาดใหญ่อย่าง Oasis 21 ซึ่งถือว่าเป็นห้างเรือธงของเมืองเลยก็ว่าได้
สำหรับใครที่เบื่อช้อปปิ้งแล้ว สามารถไปชมวิวที่หอคอยมิไร (Mirai Tower) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Nagoya TV Tower ได้ครับ ที่นี่ถือเป็นหอคอยโทรคมนาคมแห่งแรกๆ ของประเทศ ในปัจจุบันด้านบนหอคอยจะมีจุดชมวิวตั้งอยู่ ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงอันสวยงามของเมืองนาโกย่าได้ครับ
ใกล้กับหอคอยมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนปอดให้กับย่านซากาเอะ สวนนี้คือสวนฮิซายะ โอโดริ (Hisaya Odori Park) ซึ่งคุณสามารถไปนั่งพักผ่อนคลายได้ หรือว่าอาจจะเดินไปทางตอนเหนือของสวนเพื่อซื้อของกินเล่นมารับประทานก็ได้เช่นกันครับ
10. ชมวิวที่ตึก Midland Square
ตึก Midland Square เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองนาโกย่า ตัวตึกมีทั้งหมด 46 ชั้นและสูง 246 เมตร สามชั้นบนสุดของตึกนั้นเป็นจุดชมวิว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถชมวิวสวยๆ ของตัวเมืองได้แบบพาโนรามาครับ
นอกเหนือจากนี้แล้วในตึกยังมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ราคาก็แน่นอนว่าสูงพอสมควรครับ
ค่าเข้าชม: 800 เยน
11. ยลโฉมสวนชิโรโทริ
สวนชิโรโทริ (Shirotori Garden) เป็นสวนที่ตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองนาโกย่า จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือเป็นสวนแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ตรงกลางของสวนมีสร้างขนาดใหญ่ที่จำลองแม่น้ำคิโซะ นอกจากนี้ยังมีบ้านแบบญี่ปุ่นที่ใช้ประกอบพิธีชงชาตามแบบพื้นเมืองอีกด้วย ซึ่งในบ้านเหล่านี้จะมีชาและขนมหวานญี่ปุ่นขายด้วยครับ
ตัวสวนนั้นสวยมากในแทบจะทุกฤดู แต่จะสวยพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระเบ่งบาน และช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ต้นไม้ในสวนทั้งหมดจะเป็นสีแดงและสีส้ม ถ้าคุณมาเยือนในช่วงกลางคืนที่มีการเปิดไฟแล้ว ผมบอกเลยว่าสวยไม่แพ้สวนเค็นโรคุเอ็นที่คานาซาว่าเลยครับ
12. เยี่ยมเยือนท่าเรือนาโกย่า
ความสำคัญของเมืองนาโกย่านั้นอยู่ที่การเป็นเมืองท่ามาอย่างยาวนาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าเรือนาโกย่า (Nagoya Port) จะต้องใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
ในบริเวณท่าเรือนั้นจะมีส่วนที่เรียกว่า Garden Pier ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยมีสิ่งที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
Nagoya Port Building – อาคารทรงเรือใบสูง 63 เมตรที่เป็นสัญลักษณ์ของท่าเรือนาโกย่า ด้านบนมีจุดชมวิวที่คุณสามารถเห็นวิวของตัวท่าเรือได้โดยรอบเลยครับ นอกจากนี้ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงประวัติท่าเรือแห่งนี้อย่างละเอียดอีกด้วย
Port of Nagoya Public Aquarium – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น โดยตัวพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นห้าส่วนตามระบบนิเวศของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อย่างวาฬเพชฌฆาต โลมา ฯลฯ ที่ทางพิพิธภัณฑ์มีโชว์ที่น่าตื่นตาให้ชมด้วย ค่าเข้าชมอยู่ที่ 2,030 เยนครับ
Fuji Antarctic Museum – ตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือเรือตัดน้ำแข็งฟูจิ (Fuji Icebreaker) ที่เป็นกำลังสำคัญของญี่ปุ่นในการสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาในช่วงปี ค.ศ.1965-1980 คุณสามารถเดินเข้าไปชมโครงสร้างของตัวเรือและเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกเรือในอดีตได้ครับ ค่าเข้าเริ่มต้นที่ 300 เยน
13. ท่องโลกเลโก้ที่สวนสนุก Legoland
สวนสนุกเลโก้แลนด์ หรือ Legoland Japan เป็นสวนสนุกธีม lego ที่เปิดในปี ค.ศ.2017 โดยไฮไลท์ของที่นี่คือเมืองจำลองที่สร้างโดยใช้เลโก้ซึ่งนำแบบมาจากเมืองสำคัญในประเทศญี่ปุ่น อย่างเช่นโตเกียว เกียวโต ภูเขาไฟฟูจิ ฯลฯ ถ้ารวมทั้งหมดแล้วจะใช้เลโก้ไปหลายล้านชิ้นทีเดียวครับ
นอกจากนี้ในสวนสนุกยังมีเครื่องเล็กและการแสดงโชว์อีกมากมาย ซึ่งออกแบบสำหรับเด็กเล็ก ดังนั้นถ้าคุณมีลูกน้อยที่ชื่นชอบในการต่อเลโก้ ที่นี่เปรียบเหมือนแดนสวรรค์ที่น่ามาเยือนสักครั้งหนึ่งเลยครับ
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ (เริ่มต้นที่ 4,600 เยน เด็กอายุเกิน 13 ขวบนับเป็นผู้ใหญ่), เด็ก (เริ่มต้นที่ 3,400 เยน)
14. ชมสัตว์และซากุระที่สวนสัตว์ฮิกาชิยามะ
สวนสัตว์ฮิกาชิยามะ (Higashiyama Zoo) เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีสัตว์หลายชนิดตั้งแต่กอริลล่าไปถึงช้าง หรือหมีโคอาล่า เพนกวิน รวมไปถึงสัตว์หายากต่างๆ ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่น่าสนใจให้ดูอีกด้วยครับ
อีกจุดที่พลาดไม่ได้คือสวนพฤกษศาสตร์ที่มีซากุระนับร้อยชนิดรวมแล้วกว่าหนึ่งพันต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะบานสะพรั่งให้ชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้กว่า 500 ต้นก็จะพากันเปลี่ยนสี ทำให้ที่สวนนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าสนใจไม่แพ้ที่อื่นเลยครับ
ค่าเข้าชม: 500 เยน
15. ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โครังเค
โครังเค (Korankei) เป็นหุบเขาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนาโกย่าไม่ไกลนัก ตัวหุบเขานี้มีชื่อเสียงในฐานะจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อาจจะสวยที่สุดในภูมิภาคชุบุของญี่ปุ่นเลยทีเดียวครับ
ประวัติของที่นี่น่าสนใจไม่น้อย ในอดีตที่นี่ไม่ใช่จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังอะไร แต่เจ้าอาวาสแห่งวัดโคจาคุจิ (Kojakuji) ในช่วงศตวรรษที่ 17 ได้ริเริ่มปลูกต้นเมเปิ้ลตามเส้นทางสู่วัด ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นก็ได้ทำตาม จนเกิดเป็นแนวต้นไม้เปลี่ยนสีริมแม่น้ำโทโมเอะอันงดงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ นอกจากนี้ในปัจจุบันช่วงกลางคืนยังมีการเปิดไฟด้วย ซึ่งจะทำให้ทิวทัศน์สวยขึ้นไปอีก
ไม่เพียงเท่านั้นใกล้กับโครังเคยังมีหมู่บ้านโบราณอย่างซานชู อาสึเกะยาชิกิ (Sanshu Yasuke Yashiki) ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งด้านในมีบ้านเก่าแก่ที่ยังอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านในสภาพสมบูรณ์ให้ได้ชมด้วยครับ
อย่างไรก็ดีการเดินทางไปโครังเคโดยใช้ขนส่งสาธารณะยากและซับซ้อนมาก เพราะว่าต้องขึ้นลงรถไฟและรถบัสหลายรอบ วิธีไปที่ดีที่สุดคือเช่ารถแล้วขับไปครับ (50 กม ใช้เวลาขับประมาณ 1 ชั่วโมง)
16. ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองแสนอร่อย
นาโกย่าเป็นเมืองที่มีอาหารพื้นเมืองรสชาติดีหลายเมนูด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
- ข้าวหน้าปลาไหล (Hitsumabushi) – ในฐานะที่เป็นเมืองที่ส่งออกปลาไหลน้ำจืดอันดับต้นๆ เมนูนี้ถือว่าพลาดไม่ได้เลยถ้าคุณได้มาเหยียบเมืองนาโกย่าแล้ว ส่วนเรื่องราคาก็เริ่มที่ 2,000 เยนครับ
- ปีกไก่ทอด (Tebasaki) – ปีกไก่ทอดของนาโกย่านั้นเป็นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ จุดเด่นคือไก่ปรุงรสจะถูกนำไปทอดแบบน้ำมันท่วมโดยไม่ต้องชุบแป้งใดๆ ทั้งนี้คนนาโกย่ามักกินคู่กับเบียร์เย็นๆ ครับ
- มิโซะคัตสึ (Miso-katsu) – ทงคัตสึที่ราดด้วยซอสมิโซะแบบเข้มข้น
- Nagoya Cochin Chicken – เนื้อไก่ที่มีชื่อเสียงของนาโกย่า มีเสิร์ฟทั้งแบบดิบๆแบบซาชิมิไปจนถึงแบบสุกี้ยากี้และทอดเป็นไก่คาราเกะ ไม่ว่าเมนูไหนก็เอร็ดอร่อยทั้งสิ้นครับ
- มิโซะนิโคมิ (Miso-Nikomi) – เส้นอุด้งไซส์ใหญ่ที่เสิร์ฟในซุปมิโซะพร้อมกับเนื้อไก่ ไข่ พริกหยวก เห็ด หรือแม้กระทั่งโมจิ เวลาเสิร์ฟมักจะเสิร์ฟมาในหม้อดินครับ
- คิชิเมน (Kishimen) – ราเมงเส้นใหญ่ (ขนาดใกล้ๆ กับอุด้ง) โดยเสิร์ฟในน้ำซุปที่ทำมาจากถั่วเหลืองและปลาครับ เมนูนี้เป็นอาหารราคาถูกยอดนิยมครับ
- อาหารเช้าแบบนาโกย่า – นาโกย่าเป็นเมืองที่เลื่องลือเรื่องอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วยไข่ลวก ขนมปัง สลัด ข้าวปั้นและกาแฟครับ แต่บางร้านอาจจะใส่เมนูที่หลากหลายกว่านี้เข้ามาได้ด้วยเช่นกัน
เมืองน่าไปใกล้กับนาโกย่า
- เมืองโตโยต้า (Toyata) – เมืองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทรถยนต์ชื่อดัง ภายในเมืองมีพิพิธภัณฑ์รถของโตโยต้าที่จัดแสดงรถยุคต่างๆ กว่า 500 คัน ซึ่งบางคันเป็นรถหายากที่มีอายุกว่าร้อยปี ใครที่ชอบรถรุ่นเก่าๆ ผมแนะนำให้ไปเยือนครับ
- เมืองอินุยามะ (Inuyama) – เมืองขนาดเล็กที่มีปราสาทอินุยามะอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ ห่างจากนาโกย่าไม่ไกลนัก สามารถเดินทางไปแบบเช้าเย็นกลับได้ครับ