นิกโก้ (Nikko) คือเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดโทชิงิ (Toshigi) ของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของเมืองนี้คือเป็นทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของดินแดนอาทิตย์อุทัยอีกด้วย
อย่างไรก็ดีนิกโก้นั้นไม่ได้มีดีแค่อุทยานเท่านั้น แต่ตัวเมืองยังร่ำรวยไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นเมืองสวยระดับท็อปของประเทศเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าคุณหลงรักในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คุณควรไม่ควรพลาดเดินทางมาที่นี่สักครั้งหนึ่งครับ
สำหรับบทความนี้นั้น ผมจะแนะนำสถานที่เที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจในเมืองนิกโก้ แต่ก่อนอื่น เราไปดูประวัติและความเป็นมาโดยย่อของเมืองก่อนครับ
ประวัติและความเป็นมาของนิกโก้
นิกโก้นั้นตั้งอยู่ตรงกลางของเกาะฮอนชู หรือเรียกได้ว่าตั้งอยู่ตรงกลางประเทศญี่ปุ่นพอดิบพอดี ตำแหน่งดังกล่าวส่งผลให้นิกโก้เป็นจุดที่มีผู้คนมาตั้งรกรากมาเป็นเวลาถึงเกือบสองพันปีแล้วครับ
หลังจากที่ศาสนาพุทธแพร่เข้ามาในญี่ปุ่นจากเกาหลี พระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นนามว่าโชโด โชนิน (Shodo Shonin) ได้สร้างวัดขึ้นที่นี่ถึงสองแห่งด้วยกัน นั่นก็คือวัดรินโนจิ (Rinnō-ji) และวัดชูเซนจิ (Chuzenji) และเริ่มเผยแผ่ศาสนาพุทธไปตามที่ต่างๆ โดยรอบ
ชาวพุทธญี่ปุ่นจึงย้ายเข้ามาอาศัยในพื้นที่เหล่านี้ นิกโก้จึงกลายสภาพจากพื้นที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 8 ครับ
ต่อมาแนวคิดเรื่องนิกายสุขาวตี (Pure Land Buddhism) เข้ามาในญี่ปุ่น และมีผู้นับถือจำนวนมาก นิกโก้และบริเวณโดยรอบที่เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธมาแต่ก่อนจึงได้สถานะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม (Kannon) และมีผู้มาเดินทางมาแสวงบุญจำนวนมาก
ไม่เพียงแต่ชาวพุทธเท่านั้นถือว่านิกโก้และบริเวณโดยรอบนั้นศักดิ์สิทธิ์ เพราะชาวชินโตเองก็มีความเชื่อว่าเทพเจ้าภูเขาได้สถิตอยู่ที่นี่ นิกโก้จึงกลายเป็นสถานที่แสวงบุญของทั้งสองศาสนาไปโดยปริยาย
สถานะ “ศักดิ์สิทธิ์” ของนิกโก้นั้นเป็นเกราะกำบังไม่ให้นิกโก้เผชิญกับไฟสงครามเหมือนกับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น นิกโก้จึงสงบสุขตลอดมาครับ
อย่างไรก็ดีในส่วนสงครามเกนเป (Genpei War) หรือปลายศตวรรษที่ 12 นั้น ตระกูลไทระ (Taira) ได้พ่ายแพ้สงคราม และได้หนีมาหลบซ่อนตัวที่นิกโก้ จนเกิดเป็นชุมชนเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าอันหนาทึบ พวกเขาเหล่านี้มีวัฒนธรรมการระวังตัวไม่ให้โดนจับที่น่าสนใจ และได้สืบทอดมาในหมู่บุตรหลานด้วย ปัจจุบันชุมชนดังกล่าวที่สืบสายมาจากตระกูลไทระก็ยังหลงเหลืออยู่ครับ
ในช่วงปี ค.ศ.1616 โชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ถึงแก่อสัญกรรม โดยมีคำสั่งเสียว่าให้ฝังร่างของเขาลงที่นิกโก้ ดังนั้นการสร้างสุสานจึงเริ่มต้นขึ้นในภูเขาแห่งหนึ่งในนิกโก้และเสร็จสมบูรณ์ในเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ดีสุสานนี้แต่เดิมไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่ถูกต่อเติมในยุคโชกุนโตกุกาวะ อิเอมิสึ (Tokugawa Iemitsu) ให้เป็นสุสานขนาดใหญ่ ซึ่งสุสานนี้เองเป็นส่วนสำคัญของศาลเจ้าโทโชงุ (Toshogu Shrine) ในปัจจุบัน
ในช่วงสมัยเมจิที่ญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศตามแนวทางตะวันตกนั้น นิกโก้ได้กลายเป็นเมืองรีสอร์ทยอดนิยมสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
การเดินทางไปเที่ยวนิกโก้
นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินทางมานิกโก้จากโตเกียว ซึ่งไม่ได้ยากอะไรนัก อย่างเช่น
- นั่งรถไฟสายโทบุ (Tobu) มาจากสถานีอะซากุสะ (Asakusa) ในโตเกียว โดยลงที่สถานี Tobu-Nikko Station แต่ค่าเดินทางจะไม่รวมอยู่ใน Japan Rail Pass หรือว่า JR Pass
- นั่งรถไฟจากสถานีชินจุกุมาลงที่ Tobu-Nikko Station
- นั่งชินคันเซนจากสถานีโตเกียวหรืออุเอโนะมาลงสถานี Utsunomiya และเปลี่ยนสายไปยัง JR Nikko Line เพื่อเข้ามายังสถานี Tobu-Nikko
- นั่งรถบัสมาจากสนามบินนาริตะหรือฮาเนดะโดยตรง
นิกโก้เป็นเมืองที่เที่ยวได้ในทุกฤดู แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นจะได้รับความนิยม เพราะมีอากาศดี บรรยากาศสวยงาม และมีเทศกาลมากมาย โดยส่วนตัวแล้วผมชอบฤดูใบไม้ร่วงเป็นพิเศษ เพราะจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอันสวยงามนั่นเองครับ
สำหรับการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ นั้นจะประหยัดได้ด้วยการซื้อ Nikko Pass ของ Tobu Railway ซึ่งมีสองแบบด้วยกันได้แก่
- Nikko World Heritage Area Pass (2,120 เยน)- พาสแบบสองวันที่จะรวมตั่วรถไฟไปกลับนิกโก้จากโตเกียว เช่นเดียวกับขนส่งสาธารณะในนิกโก้และคินุกาวะออนเซ็นทั้งหมด
- Nikko All Area Pass (4,160-4,780 เยน) – พาสแบบสี่วันที่ยกระดับจากพาสแบบแรกไปอีกชั้นหนึ่ง นั่นคือจะรวมเส้นทางอื่นๆ ด้วย เช่นรถไปยังทะเลสาบจูเซ็นจิ หรือว่าน้ำตกคิริฟูริ
นิกโก้นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวเพียงพอที่จะอยู่ได้ 4 วันหรือมากกว่า ดังนั้นถ้าคุณมีเวลาให้กับที่นี่แล้วละก็ ผมแนะนำให้ซื้อแบบ All Area Pass ไปเลยครับ
ที่พัก
สำหรับใครที่ยังไม่มีที่พักในนิกโก้ ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักดีๆ ในนิกโก้ของผมครับ
1. เยี่ยมชมศาลเจ้าโทโชกุ
ศาลเจ้าโทโชกุ (Nikko Toshogu Shrine) เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในเมืองนิกโก้อย่างไม่ต้องสงสัย ตัวศาลเจ้าเป็นสถานที่เก็บร่างของโตกุกาวะ อิเอยาสึมาแต่เดิม แต่ได้รับการสร้างเติมแต่งอย่างยิ่งใหญ่โดยโชกุนอิเอมิสึ จนในปัจจุบันมีอาคารกว่า 55 หลังด้วยกัน
ไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่การตบแต่งประตู (ประตูโยเมยมอน) และอาคารต่างๆ อย่างสวยงามอลังการด้วยใบไม้ทองคำและงานไม้แกะสลัก ซึ่งหาชมได้ยากมาก แม้ว่าจะในญี่ปุ่นเองก็ตามครับ
จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือตัวอาคารจะผสมผสานกันทั้งศิลปะพุทธและชินโตราวกับว่าเป็นศาสนาเดียวกันอย่างแยกไม่ออก ทำให้ตัวอาคารถือว่าโดดเด่นทางวัฒนธรรมอย่างมากเลยทีเดียว
ใกล้กับศาลเจ้านั้นมีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้จะเล่าประวัติของโชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสึ และเก็บรักษาสิ่งของที่โชกุนผู้นี้เคยใช้เอาไว้ด้วย ถ้าใครชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคเซ็นโกกุ แน่นอนว่าห้ามพลาดครับ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงนั้นที่ศาลเจ้าจะจัดงานเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในนิกโก้ โดยผู้แสดงว่าพันคนจะสวมใส่ชุดเป็นซามูไรมาเดินพาเหรด และมีโชว์การยิงธนูบนหลังม้าให้ชมอีกด้วย ส่วนชาวเมืองคนอื่นๆ ก็จะแต่งกายแบบพื้นเมืองมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณไปเที่ยวนิกโก้ในช่วงนั้นก็ไม่ควรพลาดเลยครับ
2. สักการะพระพุทธเจ้าทั้งสามที่วัดรินโนจิ
วัดรินโนจิเป็นวัดเก่าแก่ที่เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านนิกโก้ในอดีต และเป็นสถานที่ที่ก่อให้เกิดเมืองนิกโก้ในปัจจุบัน ตัววัดและศาลเจ้านิกโก้อื่นๆ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกครับ
ไฮไลท์ของตัววัดคือ หอพระพุทธรูปทั้งสามอันประกอบด้วยพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ 3 พระองค์อันประกอบด้วยพระพุทธรูปพันมือแห่งยอดเขาหนานไต พระอมิตาภพระพุทธเจ้าแห่งยอดเขาเนียวโฮ และพระพุทธรูปเศียรม้าแห่งยอดเขาทาโระ
อีกหนึ่งอาคารที่น่าสนใจคือไคซังโด (Kaisando) ซึ่งเป็นสุสานของพระโชโด ผู้วางรากฐานสำคัญให้กับการเผยแพร่ศาสนาและตัวเมืองนิกโก้ ด้านในจะมีพระพุทธรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ตั้งอยู่ รวมไปถึงรูปปั้นลูกศิษย์ 10 รูปของพระโชโดครับ
นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระสูตรและพระพุทธรูปอื่นๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมและสักการะอีกด้วย ตัวสวนของวัดเองก็เป็นสวนแบบญี่ปุ่นที่เงียบสงบเหมาะต่อนั่งพักผ่อนครับ
3. ชมวัดไดยูอิน
วัดไดยูอิน (Taiyuin Temple) นั้นเป็นสุสานของโชกุนอิเอมิสึ ผู้ที่ขยายและเนรมิตศาลเจ้าโทโชกุให้ยิ่งใหญ่ หลังจากขยายสุสานให้อิเอยาสึ ผู้เป็นปู่เสร็จสิ้นลงแล้ว โชกุนผู้นี้ก็ได้มีคำสั่งให้สร้างสุสานของตนเองขึ้นมาเช่นกัน แต่ก็เล็กกว่าศาลเจ้าโทโชกุของอิเอยาสึอยู่มาก แถมตัวศาลยังหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่ไม่เป็นมงคลตามคติของญี่ปุ่นด้วย
ว่ากันว่าโชกุนอิเอมิสึให้ทำเช่นนั้นเพราะตนเองจะได้อยู่คอยรับใช้อิเอยาสึผู้เป็นปู่ในปรโลก ตัวศาลจึงหันหน้าไปทางทิศที่ศาลเจ้าโทโชกุตั้งอยู่นั่นเอง
แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า แต่ตัวสุสานก็มีศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก เหมาะต่อการมาเยี่ยมชมสั้นๆ ครับ
4. เยี่ยมชมสะพานชินเคียว
สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) เป็นมรดกโลกและหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองนิกโก้ และเป็นสะพานที่เต็มไปด้วยตำนานมากมาย บ้างว่าสะพานแห่งนี้คืองูสองตัวที่เทวดาเนรมิตขึ้นเพื่อให้พระโชโด (Shodo) ได้ก้าวข้ามลำธารที่เชี่ยวกรากไปได้ บางช่วงในหน้าประวัติศาสตร์นั้นมีแต่เพียงโชกุนเท่านั้นที่สามารถใช้สะพานนี้ได้ครับ
ทุกวันนี้ตัวสะพานทำหน้าที่เป็นประตูนำทางให้นักท่องเที่ยวเข้าสู่วัดวาอารามตลอดจนขุนเขาแห่งนิกโก้ครับ
5. เที่ยวชมศาลเจ้าฟูตาระซัง-จินจา
ศาลเจ้าฟูตาระซัง-จินจา หรือ Nikko Futarasan-jinja Shrine เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของนิกโก้ โดยศาลเจ้าแห่งนี้สร้างโดยพระโชโดตั้งแต่สมัยกลางศตวรรษที่ 8 นับตั้งแต่บัดนั้นตัวศาลถูกใช้สักการะเทพเจ้าแห่งยอดเขาหนานไตครับ
จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือหลังคาสไตล์อิระโมยะที่ญี่ปุ่นได้หยิบยืมสไตล์ของจีนมา (ซึ่งหาชมได้ยากแล้วแม้แต่ในจีนเอง) นอกจากนี้ยังมีสวนอันร่มรื่นและเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนร่างกายและจิตใจอีกด้วย
ชาวญี่ปุ่นนิยมมาไหว้ขอพรที่ศาลเจ้าเพื่อให้รับโชคดีและความสุขสงบในครอบครัวครับ
6. สักการะศาลเจ้าทาคิโอะ จินจา
ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากศาลเจ้าฟูตาระซัง-จินจาไม่ไกลนัก ตัวศาลเจ้าเงียบสงบมากและมีต้นสนซีดาร์เรียงรายติดกันไป ชาวเมืองนิยมเดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะให้ได้โชคลาภ ชีวิตการแต่งงานที่มีความสุข ตลอดจนการตั้งครรภ์ที่ราบรื่นครับ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีซากุระบานสะพรั่ง และมีงานประจำปี (瀧尾神社例大祭, Takinoo-jinja Shrine Reitaisai Festival) ที่ชาวเมืองจะมาใส่เครื่องแต่งกายพื้นบ้านอีกด้วย ดังนั้นถ้าไปเที่ยวนิกโก้ในช่วงดังกล่าว ที่นี่ถือว่าน่ามาเยือนอย่างมากเลยครับ
7. ชมความสวยงามของทะเลสาบชูเซ็นจิและภูเขาไฟหนานไต
ทะเลสาบชูเซ็นจิตั้งอยู่ใน Nikko National Park และเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุดในญี่ปุ่น น้ำของทะเลสาบมีสีน้ำเงินสวยงามใสสะอาด ใกล้กับทะเลสาบนั้นมีภูเขาไฟหนานไต (Mount Nantai) ตั้งอยู่ ทั้งนี้ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าภูเขาไฟลูกนี้นั้นศักดิ์สิทธิ์ครับ
วิธีการชมวิวบริเวณจุดนี้ที่ง่ายที่สุดคือการล่องเรือนั่นเองครับ (มีให้บริการเฉพาะเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน) หรืออีกวิธีก็คือการเดินเทรคกิ้งซึ่งจะสวยงามมาก ถ้ามาเดินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เห็นซากุระ) หรือฤดูใบไม้ร่วง (ใบไม้เปลี่ยนสี) ครับ
ใกล้กับทะเลสาบมีศาลเจ้าย่อยของศาลเจ้าฟูตาระซัง-จินจาอยู่ด้วย ศาลนี้ชาวญี่ปุ่นนิยมมาขอพรหาคู่ครองครับ
8. ไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่วัดชูเซ็นจิ
วัดชูเซ็นจิ (Nikko Chuzenji Temple) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชูเซ็นจิ และเป็นสาขาหนึ่งของวัดรินโนจิครับ จุดเด่นที่นี่คือพระพุทธรูปไม้ของพระโพธิสัตว์กวนอิม (ญี่ปุ่นเรียกว่า Kanon) อายุเก่าแก่นับพันปี บ้างว่าพระโชโดเป็นผู้แกะสลักด้วยตนเองด้วยซ้ำไป
จากตัววัดจะเห็นวิวโดยรอบ ซี่งรวมไปถึงทะเลสาบชูเซ็นจิได้อย่างสวยงามมากครับ
9. พักผ่อนอิริยาบถที่สวนสวยๆ
นิกโก้มีสวนสวยๆ ที่บรรยากาศดี ร่มรื่น และโรแมนติกอยู่หลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
Tamozawa Imperial Villa Memorial Park – ตัวสวนสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนให้กับองค์จักรพรรดิไทโชในช่วงศตวรรษที่ 19 ดังนั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งถ้าคุณอยากจะสัมผัสกับกลิ่นอายสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นช่วงยุคปลายเอโดะ เมจิและไทโชครับ
ตัวอาคารหลักในสวนสร้างโดยไม้ รวมแล้วมีห้องรวมแล้วถึง 106 ห้อง ดังนั้นจัดว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยไม้ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นครับ
Daiyagawa Park – สวนที่สร้างขึ้นริมสองฝั่งของแม่น้ำไดยะ ชาวญี่ปุ่นนืยมมาตั้งแคมป์ และทำกิจกรรมกลางแจ้งกันที่นี่ครับ
Suginamiki Koen Park – สวนที่มีจุดเด่นคือจะล้อมรอบถนนที่มีต้นไม้เรียงรายกันไปที่ยาวที่สุดในโลก (ถนนยาวถึง 35 กิโลเมตรด้วยกัน) ตัวถนนและต้นไม้เหล่านี้เป็นผลงานของไดเมียวชื่อ มัตสึไดระ มาซะสึนะในช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่ออุทิศให้กับโชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสึผู้ล่วงลับ โดยในตอนที่ปลูกเสร็จสิ้นนั้นมีต้นไม้ถึง 20,000 ต้น (บ้างว่ามากถึง 200,000 ต้นเลยทีเดียว) ด้วยกัน แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่ 12,500 ต้นครับ
ดังนั้นบรรยากาศของตัวถนนจึงร่มรื่นมาก และเหมาะต่อการเดินเล่นที่สุด เพราะรถไม่สามารถเข้ามาได้ครับ
Italian Embassy House Memorial Park – สวนแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักผ่อนของเจ้าหน้าที่ในสถานทูตอิตาลีเป็นเวลานานถึง 70 ปี ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1928-1998 โดยมีจุดเด่นคือ คุณสามารถเห็นวิวของทะเลสาบชูเซ็นจิได้แบบพาโนรามา แถมตัวบ้านก็ยังรักษาไว้ในแบบเดิมครับ
10. ชมวิถีชีวิตชาวบ้านที่หมู่บ้านเฮยเค
หมู่บ้านเฮยเค (Heike Village) เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ตระกูลไทระหลบหนีมาอยู่ที่นี่หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมือง ในปัจจุบันชนรุ่นหลังของพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ และมีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิมให้นักท่องเที่ยวที่สนใจได้ศึกษาครับ
11. ยลความงามของน้ำตกเคกอน
น้ำตกเคกอน (Kegon Falls) เป็นน้ำตกสูง 97 เมตรที่ไหลจากผืนน้ำของทะเลสาบชูเซ็นจิสู่เบื้องล่าง ตัวน้ำตกสวยงามมากถึงขนาดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ช่วงเวลาที่ชมน้ำตกที่ดีที่สุดคือช่วงฤดูร้อน ส่วนช่วงฤดูหนาวนั้นน้ำตกจะแข็งเป็นน้ำแข็งครับ
12. ชมความสวยของน้ำตกอื่นๆ
อุทยานแห่งชาตินิกโก้นั้นมีน้ำตกจำนวนมาก นอกจากน้ำตกเคกอนแล้ว ยังมีน้ำตกอีกหลายแห่งด้วยกันอย่างเช่น
- น้ำตกอูรามิ (Urami Falls) – น้ำตกที่ตั้งอยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์ของนิกโก้ ตัวน้ำตกมีสายน้ำหลั่งไหลลงมาซึ่งช่วยให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่น ทำให้ถูกจัดอันดับเป็นน้ำตกที่สวยเป็นอันดับต้นๆ ของนิกโก้อีกแห่งหนึ่งครับ
- น้ำตกคิริฟูริ (Kirifuri Falls) – น้ำตกแบบสองชั้นที่ไหลลัดเลาะมาตามภูเขาของนิกโก้ จนสุดท้ายก็ไหลเป็นละอองหมอกลงสู่แม่น้ำคิริฟูริ วิวน้ำตกแห่งนี้ถือว่าสวยงามไม่แพ้ที่ใดในนิกโก้ โดยเฉพาะถ้าชมจากจุดชมวิวครับ
- น้ำตกริวสึ (Ryuzu Falls) – อีกหนึ่งน้ำตกที่สวยสุดๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงที่นิกโก้ เพราะว่าทั้งสองฝั่งของน้ำตกนั้นมีต้นกุหลาบพันปี (ที่จะบานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ) และต้นเมเปิ้ล (ที่จะเปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง) การชมวิวที่ดีที่สุดคือชมจากจุดชมวิวครับ
13. ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ทางโค้งอิโรฮะซากะ
ทางโค้งอิโรฮะซากะ (Irohazaka) คือจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดในนิกโก้ โดยทางโค้งดังกล่าวคือถนนจากนิกโก้สู่ทะเลสาบชูเซ็นจิ ซึ่งถนนเส้นนี้มีโค้งหักศอกกว่า 48 โค้งด้วยกัน
สองข้างทางนั้นเป็นภูเขาที่มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมอย่างหนาแน่น ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนสีทั้งหมด ทำให้ทั้งภูเขาเป็นสีแดงส้ม เกิดเป็นความสวยงามที่ยากจะหาที่ใดเปรียบครับ
ปลายสุดของทางโค้งจะตั้งอยู่บนที่ราบสูงอาเกะชิไดระ (Akechidaira Plateau) บนนั้นมีจุดชมวิวพร้อมกับที่จอดรถ จากจุดนี้จะเห็นทางโค้งได้แบบสวยงามสุดๆ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเลยครับ
14. ชมความสวยงามของหุบเขา
อุทยานแห่งชาตินิกโก้มีความหลากหลายทางธรรมชาติสูงมาก ซึ่งรวมไปถึงหุบเขาด้วยเช่นกัน โดยหุบเขาที่น่าสนใจมีอยู่สองแห่ง ประกอบด้วย
- หุบเขาเรียว (Ryuo Valley) – หุบเขาที่ถูกแม่น้ำคินุกาวะสอดแทรกจนเกิดเป็นโค้งตามธรรมชาติที่สวยงามมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง นักท่องเที่ยวมักจะมาเดินเทรคกิ้งกันที่นี่ครับ (ความยาวประมาณ 7 กิโลเมตรตลอดเส้นทาง)
- หุบเขามัตสึกิ (Matsuki Valley) – หุบเขาที่มีหน้าผาหินทรายสูงชันไล่เรียงกันไป จนได้รับสมญาว่าเป็นแกรนด์แคนยอนแห่งญี่ปุ่นครับ
15. เดินชมความงามของทะเลสาบ
นอกจากทะเลสาบจูเซ็นจิแล้ว ใกล้กับเมืองนิกโก้ยังมีทะเลสาบที่สวยงามหลายแห่ง อาทิเช่น
- ทะเลสาบอิคาริ (Lake Ikari) – ทะเลสาบที่มีภูเขาสูงใหญ่ล้อมรอบ จุดนี้ถือเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีชั้นยอดอีกแห่งหนึ่งของนิกโก้ครับ
- ทะเลสาบคาวามะตะ (Lake Kawamata) – ทะเลสาบที่เกิดจากเขื่อนที่กั้นแม่น้ำคินุกาวะ ด้านตะวันออกสุดจะมีสะพานลอยฟ้าที่เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม โดยคุณจะเห็นฝั่งหนึ่งเป็นเขื่อน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นโตรกผาอันสูงชันครับ
- ทะเลสาบยูโนโกะ (Lake Yunoko) – ทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขามิตสึดาเกะ จุดเด่นของทะเลสาบแห่งนี้คือมีป่าโบราณที่เป็นถิ่นอาศัยของนกตั้งอยู่ ที่นี่เป็นอีกจุดอันเยี่ยมยอดสำหรับสัมผัสบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้ครับ
16. ชิมนมและไอศกรีมที่ฟาร์มเลี้ยงวัวชื่อดัง
นิกโก้นั้นมีฟาร์มขนาดใหญ่สองแห่งอย่างฟาร์มโกโตคุ (Kotoku Farm) และโอซาสะ (Ozasa Farm) ที่เลี้ยงวัวอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณสามารถลองซื้อผลิตภัณฑ์อย่างนมสดและไอศกรีมมาลิ้มลองรสชาติได้ รวมไปถึงมีกิจกรรมอื่นๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ทำอีกด้วยครับ
17. แช่น้ำผ่อนคลายที่ออนเซ็น
ด้วยความที่ภูมิประเทศมีภูเขาไฟอยู่หลายแห่ง นิกโก้จึงมีออนเซ็นหลายแห่งไปด้วย ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณได้แช่น้ำผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็น
- คินุกาวะออนเซ็น (Kinugawa Onsen) – ออนเซ็นที่น่าจะได้รับความนิยมสูงสุดเลยก็ว่าได้ โดยรวมแล้วมีโรงแรมแบบตะวันตกและเรียวกังให้เลือกมากถึง 80 แห่งเลยทีเดียว แต่ข้อเสียก็คือนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลครับ
- คาวาจิออนเซ็น (Kawaji Onsen) – ออนเซ็นที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขา และมีจุดแช่น้ำแบบกลางแจ้งอยู่หลายจุด โดยรวมแล้วจะเงียบกว่าคินุกาวะออนเซ็น ทำให้เหมาะสำหรับใครที่ไม่ชอบความวุ่นวายครับ
- คาวามาตะออนเซ็น (Kawamata Onsen) – ออนเซ็นที่อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบคาวามาตะมากนัก ทำให้คุณสามารถแช่น้ำไปด้วยและชมวิวของทะเลสาบ รวมไปถึงภูเขาโดยรอบไปด้วยครับ
- นิกโก้ออนเซ็น (Nikko Onsen) – ออนเซ็นที่ตั้งอยู่ใกล้กับศาลเจ้าและวัดอันศักดิ์สิทธิ์ของนิกโก้ ที่นี่จะมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพของน้ำที่ช่วยบำรุงผิวได้ดีครับ
- ชูเซ็นจิออนเซ็น (Chuzenji Onsen) – ตัวออนเซ็นตั้งอยู่ตอนเหนือของทะเลสาบชูเซ็นจิ ซึ่งคุณสามารถคุณชมวิวสวยๆ ของทะเลสาบและภูเขาหนานไต
- โอคุนิกโก้ ยูโมโตะออนเซ็น (Okunikko Yumoto Onsen) – ออนเซ็นที่ตั้งอยู่ใจกลางอุทยาน และมีตำนานเหล่าว่าพระโชโดเป็นผู้ค้นพบ น้ำของออนเซ็นมีสีเขียวซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีขาวน้ำนมเมื่อกระทบกับอากาศ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าน้ำที่นี่บำรุงผิวได้ดีครับ
18. เที่ยวเมืองจำลองที่เอโดะมูระ
เอโดะมูระ (Nikko Edomura) เป็นเมืองจำลองที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมเอโดะ ดังนั้นถ้าคุณมาเที่ยวที่นี่จึงเหมือนกับว่าคุณได้ย้อนอดีตไปในสมัยนั้นเลยทีเดียว ภายในเมืองจำลองมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง ตั้งแต่ให้คุณเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบพื้นบ้านของญี่ปุ่น ไปจนถึงการแสดง และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ครับ
ไม่เพียงเท่านั้นด้านในเมืองจำลองยังมีร้านอาหารตลอดจนร้านค้าต่างๆ ที่คุณสามารถซื้อของที่ระลึกหรือว่าลองชิมอาหารพื้นเมืองเก่าแก่ได้อีกด้วย
References: