โนโบริเบทสึ (Noboribetsu) หรือโนโบริเบทสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen) เป็นหนึ่งในออนเซ็นยอดนิยมของเกาะฮอกไกโด ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากมายที่เดินทางมาแช่ออนเซ็นเพื่อผ่อนคลายและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ณ ที่แห่งนี้ครับ
ในบทความนี้ ผมจึงมาแนะนำให้คุณรู้จักกับโนโบริเบทสึคร่าวๆ ก่อนจะว่ากันถึงสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของโนโบริเบทสึ (Noboribetsu)
โนโบริเบทสึเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอกไกโดครับ โดยชื่อเมืองนั้นมาจากรากศัพท์ภาษาไอนุ ซึ่งแปลว่าแม่น้ำสีดำครับ
ก่อนช่วงศตวรรษที่ 19 แม้ว่าญี่ปุ่นยังไม่ได้ครอบครองเกาะฮอกไกโด แต่ก็มีนักสำรวจหลายคนที่ได้เดินทางขึ้นเหนือมาถึงที่นี่ และได้เขียนบันทึกการเดินทางเอาไว้ ซึ่งบางคนได้พรรณนาถึงความยอดเยี่ยมของน้ำพุร้อนในที่แห่งนี้โดยเฉพาะเรื่องสรรพคุณการรักษาโรคต่างๆ
หลังจากที่รัฐบาลเมจิได้ผนวกฮอกไกโด โนโบริเบทสึได้กลายเป็นเมืองออนเซ็นที่ได้รับความนิยม โรงแรมและเรียวกังได้ถูกเปิดขึ้นมากมายเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิโชวะที่ได้เสด็จมาที่นี่ในปี ค.ศ.1954 ครับ
ทุกวันนี้โนโบริเบทสึยังคงงเป็นออนเซ็นที่นักท่องเที่ยวหลายคนประทับใจ และเดินทางกลับมาเยือนอีกหลายครั้งครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปโนโบริเบทสึทำอย่างไร?
สนามบิน New Chitose Airport (新千歳空港, Shin-Chitose Kuko) เป็นสนามบินที่ใกล้กับโนโบริเบทสึมากที่สุด ดังนั้นนักเดินทางมักจะเริ่มต้นทริปกันที่นี่ครับ
จากสนามบินนี้คุณสามารถเดินทางไปโนโบริเบทสึด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
รถบัส – คุณสามารถนั่งรถบัสของ Donan Bus จากสนามบินไปยังโนโบริเบทสึออนเซ็นได้โดยตรง วิธีนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าถูกที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด และน่าจะเร็วที่สุดด้วยครับ
Airport Train + Limited Express + รถบัส – ขั้นแรกคุณจะต้องนั่ง Airport Train จากสนามบินไปลงที่สถานี Minami Chitose Station หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟ Limited Express Hokuto หรือ Limited Express Suzuran ไปยังสถานี Noboribetsu Station และปิดท้ายด้วยการนั่งรถบัสหรือแท็กซี่ไปยังเมืองออนเซ็นครับ
ถ้าใช้วิธีนี้ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 3,000 เยนหรือมากกว่า ซึ่งแพงกว่าการนั่งรถของ Donan Bus อย่างชัดเจนครับ
อีกตัวเลือกที่น่าสนใจคือเดินทางจากเมืองซัปโปโร โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
- Limited Express – คุณสามารถนั่งรถไฟ Limited Express Hokuto หรือ Suzuran จากซัปโปโรไปยังโนโบริเบทสึได้โดยตรง ระยะเวลาเดินทางอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีครับ
- รถบัส – อีกทางเลือกคือนั่งรถบัสของ Donan Bus (Express Onsen-go หรือ Express Hakucho-go) ระยะเวลาที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 80 นาทีครับ
นอกจากนี้คุณสามารถเช่ารถจากสนามบิน New Chitose หรือว่าเมืองซัปโปโรแล้วขับไปได้เช่นกัน ระยะทางจะอยู่ที่ 80 และ 120 กิโลเมตรตามลำดับครับ
ข้อมูลด้านบน ผมอ้างอิงจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวโนโบริเบทสึโดยตรง (Noboribetsu International Tourism and Convention Association) ผมแนะนำให้ตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลส่วนนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ครับ (เส้นทางรถไฟเคยโดนเปลี่ยนทั้งหมดมาแล้ว)
ที่พัก
ถ้าคุณยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักโนโนริเบทสึน่าจองเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. หุบเขาโนโบริเบทสึจิโกคุดานิ
หุบเขาโนโบริเบทสึจิโกคุดานิ (Noboribetsu Jigokudani Valley) หรือหุบเขานรกเป็นหุบเขาที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟฮิโยริในอดีตกาล ซึ่งได้ส่งน้ำพุร้อนจากใต้พื้นดินพวยพู่ขึ้นมาจำนวนมหาศาล เช่นเดียวกับกำมะถันและแร่ธาตุอีกหลากหลายชนิดครับ
ในปัจจุบันคุณสามารถเดินเทรคตามเส้นทางไม้อย่างดี ช่วยให้คุณเข้าไปชมตัวหุบเขาได้อย่าง่ายดายและปราศจากอันตรายครับ
จุดที่ได้รับความนิยมมีอยู่หลายจุด หนึ่งในจุดนั้นคือสระโอยุนุมะ (Oyunuma Pond) ซึ่งเป็นสระกำมะถันที่มีน้ำอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 50 องศา (แต่ก้นสระจะอยู่ที่ 130 องศา) จุดนี้จะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะมีใบไม้เปลี่ยนสีครับ
น้ำที่ไหลออกจากสระนั้นให้กำเนิดแม่น้ำสายเล็กชื่อแม่น้ำโอยุนุมะ (Oyunuma River) ด้วยความที่น้ำในแม่น้ำอุ่นพอจะแช่เท้าได้ นักเดินทางบางคนมักจะนั่งพักแช่เท้ากันที่ริมแม่น้ำแห่งนี้ครับ
สำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง คุณสามารถมาเดินเที่ยวที่นี่หลังพระอาทิตย์ตกดินได้เช่นกัน ตามทางเดินจะมีแสงไฟสว่างไปตลอดทาง ทำให้ไม่อันตรายแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ไฟจะปิดตอนห้าทุ่ม ถ้าสนใจมาชมวิวช่วงนี้ก็ไม่ควรกลับเกินเวลาครับ
2. สวนหมีโนโบริเบทสึและหมู่บ้านไอนุ
สวนหมีโนโบริเบทสึ (Noboribetsu Bear Park) เป็นสวนสัตว์ที่ดูแลหมีสายพันธุ์เอโซะ (Ezo) ซึ่งเป็นหมีที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นไว้มากถึง 70 ตัวด้วยกัน
ตัวสวนหมีแบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งสองส่วนจะเป็นบริเวณเปิดโล่งขนาดใหญ่ที่หมีสามารถอาศัยได้เหมือนกับอยู่ในธรรมชาติ ขณะที่ส่วนสุดท้ายจะเหมือนกับสวนสัตว์ทั่วไปที่คุณจะได้มองเหล่าหมีได้อย่างใกล้ชิด หรือแม้กระทั่งให้อาหารมันด้วยครับ
ไม่เพียงเท่านั้นในสวนหมียังมีพิพิธภัณฑ์ที่คุณสามารถเรียนรู้ชีวิตของหมีสายพันธุ์นี้ รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของการเลี้ยงหมีที่นี่ด้วยเช่นกันครับ
ใกล้กับสวนหมีจะมีหมู่บ้านไอนุ (Ainu Village) หรืออีกชื่อ หมู่บ้านยุการะ (Yukara Village) ตั้งอยู่ ตัวหมู่บ้านจะจัดแสดงวิถีชีวิตของชาวไอนุ ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเดิมของเกาะฮอกไกโดครับ
3. ทะเลสาบคุตาระ
ทะเลสาบคุตาระ (Lake Kuttara) เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ และไม่มีลำธารหรือแม่น้ำที่ถ่ายน้ำเข้าออกและทะเลสาบแต่อย่างใด น้ำของทะเลสาบจึงนิ่งสงบ นอกจากนี้ยังใสมาก ถึงขนาดที่ได้รับการจัดอันดับว่าใสเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยครับ
หนึ่งในจุดที่ชมวิวทะเลสาบที่สวยที่สุดคือที่ Senkei Observatory ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบครับ
4. แช่ออนเซ็น
ออนเซ็นคือสิ่งที่ทำให้นักเดินทางมากมายมาเยี่ยมเยือนเมืองแห่งนี้ จุดเด่นของที่นี่คือน้ำจะมีหลากหลายถึง 10 แบบ และมีสรรพคุณที่ต่างกัน อย่างเช่น
- Alum (อะลูมิเนียม) – น้ำจะมีสีน้ำตาลอมเหลือง โดยในน้ำมีอะลูมิเนียมผสมอยู่
- Melanterite – น้ำออนเซ็นที่มีแร่ธาตุสูงมาก และมีความเป็นกรด ช่วงบำรุงร่างกายและรักษาโรคผิวหนัง
- Mirabilite – น้ำไร้สี ไร้กลิ่น และใส
- Sulfur (กำมะถัน) – น้ำจะเป็นสีน้ำนม และมีกลิ่นคล้ายไข่ต้ม
- Saline (น้ำเกลือ) – น้ำใสไร้สี มีส่วนผสมของเกลือ
ว่าด้วยสรรพคุณของออนเซ็น
ตามความเชื่อแล้วน้ำแต่ละแบบมีสรรพคุณที่ต่างกันออกไป ซึ่งอาจตรงตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ งานวิจัยหลายฉบับที่พบว่าการแช่ออนเซ็นโดยรวมช่วยบรรเทาอาการปวดและความดันโลหิตสูงครับ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าแช่คลายเครียดโดยไม่ต้องคิดว่าจะได้สรรพคุณอะไรมาก น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
ในเมืองโนโบริเบทสึมีเรียวกังและโรงอาบน้ำมากมายที่คุณสามารถไปแช่ได้ ค่าแช่จะอยู่ที่ 400-1,500 เยนครับ แต่ที่นี่ไม่มีพาสที่เมื่อซื้อแล้วสามารถแช่ได้หลายแห่งเหมือนกับเมืองออนเซ็นบางที่ (อย่างเช่นนิวโตะออนเซ็นเป็นต้น)
5. ชมเทศกาลนรก
เทศกาลนรก หรือ Noboribetsu Hell Festival เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองออนเซ็นแห่งนี้ โดยจะจัดขึ้นในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมครับ
ตัวเทศกาลจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและบูชาเทพเจ้าเอนมะ ดาอิโอะ (Enma Daio) ผู้ปกครองยมโลกตามความเชื่อแบบญี่ปุ่น ซึ่งตามความเชื่อว่าไว้ว่า เทพเจ้าจะปล่อยให้พวกปีศาจขึ้นมาเต้นรำที่โนโบริเบทสึในช่วงนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นชาวเมืองจึงสร้างรูปปั้นปีศาจและอสูรขนาดใหญ่ และแห่ไปตามท้องถนนในยามค่ำคืน นอกจากนี้ยังมีการละเล่นต่างๆ อีกมากมายด้วยครับ
6. ผ่านชมซากุระ
ในช่วงเดือนพฤษภาคม ต้นซากุระกว่า 2,000 ต้นบนสองฝากถนนยาว 8 กิโลเมตรที่พาคุณจากสถานี Noboribetsu Station มายังตัวออนเซ็นนั้นจะผลิดอกบานสะพรั่ง
เพราะฉะนั้นถ้าคุณมาเที่ยวโนโบริเบทสึในช่วงนั้น โปรดอย่าได้หลับในรถครับ เพราะคุณอาจจะพลาดของดีไปไม่รู้ตัว
7. เที่ยวสวนสนุกและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
Date Jidaimura เป็นสวนสนุกธีมยุคเอโดะที่ไม่ได้เครื่องเล่นโลดโผนอันใด แต่จะเป็นการจำลองบ้านและถนนช่วงยุคเอโดะ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม
นักท่องเที่ยวหลายคนมักจะสวมใส่ชุดกิโมโน และเดินเล่นพร้อมกับถ่ายรูปตามถนนสวยๆ ในสวนสนุกครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีการแสดงนินจาและซามูไรอีกด้วย
อีกหนึ่งที่ที่น่าสนใจคือ Noboribetsu Marine Park NIXE พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีความโดดเด่นตรงที่มีปราสาทแบบตะวันตกอยู่ด้านในด้วย ที่นี่มีสัตว์น้ำกว่า 20,000 ตัว พร้อมกับการแสดงและเครื่องเล่นต่างๆ อีกด้วยครับ
References
- Noboribetsu International Tourism and Convention Association
- JNTO
- Visit Hokkaido
- Bearpark.jp
สถานที่เที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
- โอตารุ – เมืองท่าสุดโรแมนติก ห่างจากโนโบริเบทสึประมาณ 150 กิโลเมตร สามารถไปในทริปเดียวกันได้ครับ
- ทะเลสาบโทยะ – ทะเลสาบสุดสวย น้ำใสที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ