โอตารุ (Otaru, 小樽) เป็นเมืองท่าขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากซัปโปโร เมืองหลวงของจังหวัดฮอกไกโดของญี่ปุ่น ตัวเมืองมีบรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติกเหมาะอย่างยิ่งกับการเดินเล่น ถ่ายรูป และชมวิวครับ
สำหรับบทความนี้ ผมจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเมืองโอตารุคร่าวๆ และจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับถัดไปครับ
ความเป็นมาของเมืองโอตารุ (Otaru)
โอตารุเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ และมีความเกี่ยวพันกับชาวไอนุ (Ainu) ชนชาติที่อาศัยในเกาะฮอกไกโดมาตั้งแต่โบราณ ชื่อ “โอตารุ” เองก็น่าจะมาจากภาษาของชาวไอนุ โดยน่าจะแปลว่าแม่น้ำที่พาดผ่านหาดทราย หรือบ้างก็ว่าแปลว่า “หาดทราย” โดยตรงครับ
บทบาทของโอตารุในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก่อนหน้ายุคเมจิถือว่าเป็นศูนย์ เพราะในเวลานั้นชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันยังไม่ได้ปกครองดินแดนแถบนี้ด้วยซ้ำไป
กว่าที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะเข้าสำรวจและผนวกเกาะฮอกไกโดทั้งเกาะก็ปาเข้าไปปี ค.ศ.1869 แล้วครับ ซึ่งสาเหตุหนึ่งคือญี่ปุ่นกลัวว่าจักรวรรดิรัสเซียจะเข้าครอบครองเกาะแห่งนี้และรุกรานญี่ปุ่นเป็นลำดับต่อไป
อย่างไรก็ดีหลังจากการผนวกเสร็จสิ้น รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้สร้างหมู่บ้านขึ้นที่บริเวณแห่งนี้ และได้พัฒนาเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรือง ตัวเมืองได้ขยายใหญ่ขึ้นเพราะรัฐบาลได้สร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างซัปโปโรและโอตารุนั่นเอง เส้นทางรถไฟสายนี้ถือเป็นสายแรกของเกาะฮอกไกโดครับ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โอตารุได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายของเกาะฮอกไกโด รวมไปถึงอุตสาหกรรมถ่านหินและประมงด้วย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวเมืองจึงโดนทิ้งระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อหลังสงคราม การค้าขายต่างๆ จึงย้ายไปที่เมืองซัปโปโรแทนครับ
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอีกแล้ว โอตารุก็ยังเป็นเมืองท่าที่เงียบสงบ แต่ก็เป็นจุดพักเรือของชาวประมงมากมายที่ออกไปจับปลา ปู และกุ้งสดๆ จากท้องทะเลครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวโอตารุทำอย่างไร?
โอตารุอยู่ใกล้กับเมืองใหญ่อย่างซัปโปโรมาก คุณสามารถเดินทางไปอย่างง่ายๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ครับ
- JR Hakodate Main Line – รถไฟขบวน Rapid Airport สามารถนำคุณจากเมืองซัปโปโรมายังโอตารุได้ภายในเวลา 32 นาทีเท่านั้น ส่วนตั๋วรถไฟอยู่ที่ 750 ต่อเที่ยวซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายและสะดวกสบายที่สุดครับ
- รถบัส – อีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือใช้บริการรถบัสอย่าง Hokkaido Chuo Bus หรือ JR Hokkaido Bus เวลาที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
- เช่ารถขับ – คุณสามารถเช่ารถจากซัปโปโรและขับมายังโอตารุได้ โดยระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 36 กิโลเมตรครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Otaru Tourism Association (โปรดตรวจสอบที่เว็บต้นทางอีกครั้งก่อนที่จะออกเดินทาง เพราะข้อมูลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ครับ)
ไปเที่ยวโอตารุช่วงไหนดี
ด้วยความที่โอตารุมีเทศกาลหิมะ ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดย่อมเป็นเดือนกุมภาพันธ์ในฤดูหนาวที่มีเทศกาลดังกล่าว ช่วงนี้บริเวณคลองของเมืองจะสวยงามและโรแมนติกอย่างมากเลยครับ
ส่วนช่วงอื่นๆ ก็จะเหมือนกับเมืองทั่วไปของญี่ปุ่น นั่นคือฤดูใบไม้ผลิจะมีซากุระ ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะมีใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งงดงามไม่แพ้เมืองใดครับ
ที่พัก
ถ้าอยากได้ที่พักในเมืองที่คุณภาพดีๆ ราคาเหมาะสม ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักโอตารุน่าจองของผมเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. เดินเล่นที่คลองโอตารุ
คลองโอตารุ (Otaru Canal) เป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงเมืองท่าแห่งนี้มาตั้งแต่ในอดีต โดยมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้กับการขนย้ายสินค้าไปยังคลัง
แม้ว่าบางส่วนจะถูกถมไปบ้างเพื่อสร้างถนน แต่บริเวณคลองฝั่งเหนือยังคงความกว้างเหมือนกับเมื่อร้อยกว่าปีก่อนทุกประการครับ
ปัจจุบันฝั่งหนึ่งของคลองยังมีอาคารแบบเดิมที่เคยเป็นคลังสินค้า แต่ชาวเมืองได้เปลี่ยนเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่นี่จึงเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวต้องเดินทางมาเยี่ยมเยือนครับ
ช่วงที่บริเวณนี้สวยที่สุดน่าจะเป็นช่วงฤดูหนาวตอนกลางคืนที่มีหิมะโปรยปราย เพราะจะมีการจุดไฟที่ตะเกียงแบบเก่าตามถนน ทำให้บรรยากาศโรแมนติกมาก และมีความ vintage เหมือนกับได้ย้อนยุคไปในอดีตครับ
สำหรับใครที่หลงรักการล่องเรือ คุณสามารถล่องได้ด้วยการจองผ่าน Otaru Canal Cruise ครับ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,500-1,800 เยนครับ (1,800 จะเป็นการล่องช่วงกลางคืน)
2. ชมเทศกาลหิมะ
เทศกาลหิมะของโอตารุมีชื่อว่าโอตาริ ยูกิ อการิ โนะ มิจิ หรือ Otaru Snow Light Path Festival ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลาสิบวันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ตลอดช่วงนี้ชาวเมืองจะประดับประดาส่วนต่างๆ ของเมือง โดยเฉพาะบริเวณคลองโอตารุและย่านเทมิยะเซ็นไคโจ (Temiyasen Kaijo) ด้วยแสงไฟและรูปปั้นหิมะต่างๆ ทำให้บรรยากาศเหมาะสุดๆ กับการฮันนีมูนของคู่รักครับ
สิ่งที่ดีงามที่สุดคือเทศกาลนี้จัดคู่ขนานกับเทศกาลหิมะของซัปโปโรครับ ดังนั้นในทริปเดียว คุณสามารถเก็บหมดทั้งสองแห่งได้เลย
3. เดินชมตึกสวยๆ ในเมือง
เมื่อรัฐบาลเมจิผนวกฮอกไกโดเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้น ทางรัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อบริหารและดูแลการพัฒนาเกาะฮอกไกโดที่โอตารุ
ดังนั้นโอตารุจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงินของเกาะแห่งนี้ไปโดยปริยาย ธนาคารและบริษัทต่างมาเปิดสำนักงานที่นี่ ทำให้ดาวน์ทาวน์ของโอตารุได้สมญาว่าเป็นวอลสตรีทแห่งภาคเหนือ (Wall Street of the North) ครับ
ในปัจจุบันอาคารสำนักงานสวยๆ ที่สร้างขึ้นในช่วงนั้นได้กลายสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือเป็นตึกสวยๆ ที่คุณไปถ่ายรูปได้ อย่างเช่น
- The Bank of Japan Otaru Museum
- Otaru Museum
- Former Mitsui Bank Otaru Branch
- Former Nippon Yusen Co. Otaru Branch
4. ชมวิถีชีวิตชาวประมงที่นิชิน โกเทน
Nishin Goten (Herring Mansions) เป็นอาคารทรงสวยสีเลือดหมูที่ในอดีตเคยใช้เป็นที่อยู่ของชาวประมงที่ร่ำรวย รวมไปถึงจัดการปลาสดที่เพิ่งจับมาจากท้องทะเล
ในอดีตเคยตั้งอยู่นอกเมืองโอตารุ แต่ถูกย้ายมาในสถานที่ปัจจุบันช่วงปี ค.ศ.1958 คุณสามารถเข้าไปชมอุปกรณ์ที่ชาวประมงใช้จับปลาได้ครับ
5. เดินเล่นที่ถนนซากาอิมาจิ
ถนนซากาอิมาจิ (Sakaimachi Dori) เป็นถนนคนเดินที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงยุคศตวรรษที่ 19 ที่มีการพัฒนาเมืองแห่งนี้ บ้านเรือนแต่ละหลังจะเป็นแบบตะวันตก แต่ก็มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นสอดแทรกอยู่ครับ
สองข้างทางของถนนมีร้านอาหารและร้านค้ามากมาย ดังนั้นเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่ามาเดินเล่นอย่างมากเลยครับ
นอกเหนือจากร้านค้าต่างๆ แล้ว ถนนซากาอิมาจิมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่น่าสนใจ อาทิเช่น
Otaru Music Box Museum – หรือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ กล่องดนตรีเหล่านี้เป็นของที่ระลึกที่มีชื่อเสียงของเมือง ด้านในจะจัดแสดงกล่องดนตรีหลากหลายชนิด และมีการแสดงดนตรีให้ชมอีกด้วย
Kitaichi Venezia Museum – พิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัทผลิตแก้วคิตาอิจิ ด้านในจัดแสดงศิลปกรรมแบบเวนิส โดยเฉพาะอย่างแก้วที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่า 3,000 ชิ้นครับ
6. ชมวิวที่ภูเขาเทนกุ
ภูเขาเทนกุ (Mt.Tengu) เป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองโอตารุที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง คุณจะได้เห็นเมืองท่าแห่งนี้แบบพาโนรามา เช่นเดียวกับท้องทะเลสีน้ำเงินที่โอบกอดตัวเมืองไว้อย่างสวยงามยิ่งครับ วิวจากจุดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสามสุดยอดจุดชมวิวช่วงกลางคืนของฮอกไกโดเลยครับ (ร่วมกับฮาโกดาเตะและซัปโปโร)
การขึ้นไปจุดชมวิวนั้นง่ายดายมาก เพราะมีกระเช้า Otaru Tenguyama Ropeway ที่จะพาคุณขึ้นไปครับ ส่วนค่าใช้จ่ายไปกลับจะอยู่ที่ 1,400 เยน พอขึ้นไปถึงแล้วด้านบนมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่คุณสามารถไปหาอะไรรับประทานพร้อมกับชมวิวสวยๆ ได้ครับ
ไม่เพียงเท่านั้นด้านบนยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่ง อย่างเช่น Otaru Ski Museum ที่เล่าประวัติความเป็นมาของการเล่นสกีในพื้นที่แถบนี้ รวมไปถึง Tengu Exhibition Room ที่จัดแสดงหน้ากากเทนงุถึง 700 ชิ้นจากทั่วญี่ปุ่นเลยครับ
สำหรับใครที่ไปที่นี่ช่วงฤดูหนาว ภูเขาแห่งนี้จะกลายเป็นสกีรีสอร์ท (Tenguyama Ski Resort) ที่มีกิจกรรมฤดูหนาวให้เล่น ไม่ต่างจากสกีรีสอร์ทยอดนิยมในญี่ปุ่นอย่างคิโรโระ, ฮาคุบะ, เมียวโกะ หรือยูซาวะครับ
รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ Otaru Tenguyama ครับ
7. พายเรือคายัคที่ชายฝั่งโอโชโระ
ชายฝั่งโอโชโระ (Oshoro Coast) เป็นชายฝั่งที่มีภูเขาหินที่เว้าแหว่งรวมไปถึงถ้ำต่างๆ ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลจากมหาสมุทร
นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีสัตว์ทะเลมากมาย นักท่องเที่ยวจึงนิยมเดินทางมาพายเรือคายัคกันที่นี่ครับ
8. ชิมอาหารเลิศรส
โอตารุเป็นเมืองที่มีอาหารชั้นยอดให้ลิ้มลองมากมาย โดยเฉพาะ
- ซูชิและซาชิมิ – เนื่องจากเป็นเมืองชายทะเล โอตารุจึงมีอาหารทะเลชั้นยอดที่คุณภาพดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ดังนั้นถ้าคุณเป็นสาวกซูชิและซาชิมิ ที่นี่มีร้านให้เลือกมากกว่า 130 ร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านชั้นนำที่ Otaru Sushi Street นอกจากนี้คุณยังสามารถหาร้านดีๆ ได้ที่ Otaru Triangle Market ได้ด้วยเช่นกัน
- Otaru Ankake Yakisoba – ยากิโซบะสูตรของโอตารุที่มีจุดเด่นที่ซอสอันเข้มข้น ครับ
- Beko Mochi – โมจิสูตรของชาวเมืองโอตารุที่รสชาติหวานอร่อย
- ไอศกรีม – ไอศกรีมของที่นี่มีรสแปลกๆ อย่างเช่นรสอูนิ หมึกดำ ไปจนถึงรสเมลอน ใครที่ชอบการรับประทานไอศกรีมย่อมไม่ควรพลาดเช่นกันครับ
9. นั่งรถสองล้อชมเมือง
สำหรับใครที่ขี้เกียจเดิน แต่อยากชมบรรยากาศของตัวเมือง ลองเลือกใช้บริการของสองล้อคนลาก (Rickshaw) ซึ่งเป็นพาหนะช่วงศตวรรษที่ 19 ของญี่ปุ่นดูครับ
กล่าวคือคุณจะขึ้นไปนั่งบนรถสองล้อ (นั่งได้สองคน) และคนลากก็จะลากคุณไปชมจุดสวยๆ ของเมืองโอตารุได้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ดีราคาจัดว่าแรงมาก โดยอยู่ที่ 5,000 เยนต่อ 12 นาทีครับ แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบวินเทจก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยครับ ใครที่สนใจจองได้ที่ Ebisuya Rickshaw
10. ล่องเรือชม Blue Cave
Otaru Blue Cave เป็นถ้ำในทะเลที่มีน้ำทะเลสีน้ำเงินอันสวยงามอยู่ในนั้น ซึ่งเมื่อเปิดไฟแล้วจะมีสีน้ำเงินเรืองรองเลยทีเดียว (คล้ายกับ Blue Grotto หลายแห่งในยุโรป) ในการเดินทางคุณจะต้องซื้อทัวร์เรือเร็วออกไปครับ
ทัวร์ก็จะมาคุณชมตัวถ้ำ เช่นเดียวกับปากอ่าวและคาบสมุทรโดยรอบที่มีความสวยงามไม่น้อย การล่องเรือทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 80 นาที ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5,500 เยนครับ
References
- Otaru Tourism Association
- Visit Otaru
- Hokkaido Official Tourism Site
สถานที่เที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
- โนโบริเบทสึ – เมืองออนเซ็นอันดับต้นๆ ของฮอกไกโด ห่างจากโอตารุประมาณ 150 กิโลเมตร ดังนั้นสามารถไปได้ในทริปเดียวกันครับ
- ทะเลสาบโทยะ – ทะเลสาบหลุมภูเขาไฟ วิวสวย น้ำใส น่าไปเที่ยวอย่างยิ่งครับ