ในฐานะคนรักประวัติศาสตร์แล้วนั้น นครเพตรา หรือ นครเปตรา (Petra) ที่ตั้งอยู่ในประเทศจอร์แดนเป็นสถานที่ที่ผมอยากไปเยือนมากที่สุดในชีวิต ซึ่งหลังจากที่ได้ไปจริงๆ แล้ว ผมก็พบว่าไม่น่าผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างยิ่งใหญ่และอลังการ ราวกับว่าผมได้ย้อนเวลากลับไปสองพันกว่าปีก่อนเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดีด้วยความที่แหล่งโบราณสถานแห่งนี้ใหญ่โตมาก หลายคนอาจจะสงสัยว่ามีจุดไหนที่คุณไม่ควรพลาดบ้าง บทความนี้จึงจะชี้เป้าไฮไลท์ทั้งหมด พร้อมกับอธิบายความเป็นมาและแนะนำวิธีการเดินทางไปเพื่อที่การท่องเที่ยวเมืองเพตราของคุณจะได้ราบรื่นและมีรสชาติมากขึ้นครับ
ความเป็นมาของนครเพตรา (Petra)
เพตราตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศจอร์แดน โดยตัวเมืองตั้งอยู่ในบริเวณแอ่งถูกโอบล้อมด้วยแนวเทือกเขา ทำให้เป็นปราการปกป้องเมืองจากศัตรูภายนอกได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เพตราถือเป็นเมืองที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ โดยมีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วง 7000 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงนั้นนักโบราณคดีได้พบว่ามีมนุษย์ตั้งหลักปักฐานและเริ่มต้นเพาะปลูกที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นเพตราก็ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุอมาร์นา (Amarna Letters) ของอียิปต์อีกด้วย แต่ว่าในเวลานั้นจะยังใช้ชื่ออื่น ยังไม่ได้ใช้ชื่อเพตรา ทำให้เชื่อได้ว่าเพตราน่าจะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง
ต่อมาในช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล ชาว Edomites ได้ครอบครองเมืองเพตรา และได้เปลี่ยนเพตราเป็นเมืองที่พักของเหล่าพ่อค้าที่เดินทางผ่านมา สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความเป็นแอ่งของเพตราทำให้มีพื้นที่เก็บน้ำเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากสำหรับการเดินทางในทะเลทรายครับ
ในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล เพตราได้ถูกปกครองโดยชาวนาบาเทียน (Nabateans) ซึ่งได้สถาปนาให้เพตราเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรของตน ชาวนาบาเทียนได้สร้างความเจริญอย่างมากแก่เพตรา ทั้งนี้ส่วนใหญ่ของเขตโบราณสถานเพตราที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันล้วนแต่ถูกสร้างโดยพวกเขาครับ
ช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของเพตราอยู่ที่ประมาณ ค.ศ.100 โดยในช่วงนั้นเพตรามีประชากรมากถึง 20,000 คน และเป็นเมืองใหญ่ที่มีการค้าขายอันมั่งคั่งที่สุดของภูมิภาค
อย่างไรก็ดีในปี ค.ศ.106 เพตราได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน แต่ผู้ปกครองชาวโรมันก็พัฒนาเมืองต่อไปอย่างดีจนกระทั่งถึงช่วง ค.ศ.200 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองครับ
หลังจากนั้นเพตราก็เริ่มเสื่อมถอยลงเพราะสี่สาเหตุได้แก่
- การเปลี่ยนเส้นทางค้าขายจากทางบกไปเป็นทางทะเล
- การรุกรานของอาณาจักรแซสซานิด (Sassanid Empire)
- ความรุ่งเรืองของเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคเช่นพัลไมรา
- แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.363
แผ่นดินไหวในช่วงศตวรรษที่ 4 นั้นได้ทำลายสิ่งก่อสร้างในเมืองไปเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเมืองก็ยังคงรุ่งเรืองอยู่ในระดับหนึ่ง เห็นได้จากการค้นพบโบสถ์คริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 6 และเอกสารโบราณต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเพตรายังมีสภาพเป็นเมืองในช่วงยุคโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) ครับ
อย่างไรก็ดีเมื่อศตวรรษที่ 7 มาถึง เพตรากลับไม่ถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์อีกแล้ว เมื่อชาวมุสลิมรุกรานอียิปต์ ซีเรีย และพื้นที่โดยรอบก็ไม่ได้กล่าวถึงตัวเมืองด้วย ทำให้เชื่อได้ว่าผู้อยู่อาศัยน่าจะละทิ้งเมืองไปในช่วงนี้
นับตั้งแต่บัดนั้นจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 ตำแหน่งของเมืองเพตราสูญหายไปหน้าประวัติศาสตร์ จนกระทั่งถูกค้นพบใหม่ในปี ค.ศ.1812 โดยนักสำรวจชาวสวิสเซอร์แลนด์ชื่อ Johann Ludwig Burckhardt
การค้นพบเพตราใหม่ถือว่าส่งผลเสียต่อเมืองในช่วงแรก เพราะโบราณวัตถุจำนวนมากถูกลักขโมยจากตัวเมืองไปยังพื้นที่อื่น แต่ในทางโบราณคดีถือว่าสำคัญมาก เพราะผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาศึกษาวิจัย ตลอดจนเข้าดูแลรักษาพื้นที่บริเวณนี้ให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้น ซึ่งการขุดค้นพบว่าชื่อที่แท้จริงของเพตราคือ Raqeem
ในยุคปัจจุบัน เพตราได้กลายเป็นโบราณสถานอันดับหนึ่งของประเทศจอร์แดน นอกจากนี้ยังได้รับการลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกในปี ค.ศ.1985 รวมไปถึงเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเมื่อปี ค.ศ.2007 ครับ
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการเดินทางไปเที่ยวนครเพตรา
ไปเพตราช่วงไหนดี?
ผมมองว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเที่ยวนครเพตราคือช่วงฤดูหนาว หรือช่วงปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงช่วงกุมภาพันธ์ เพราะในช่วงนี้อากาศจะเย็นสบาย (ประมาณ 5-10 องศา) นักท่องเที่ยวก็ไม่มากเท่าไรนัก ตอนที่ผมไปก็เป็นช่วงฤดูหนาวครับ
ส่วนช่วงฤดูใบไม้ผลิอย่างมีนาคมหรือเมษายน หรือช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายนถึงพฤศจิกายน) ก็ไปได้ครับ หลายๆ คู่มือก็แนะนำให้ไปช่วงนี้ เพราะอากาศไม่หนาวเกินไป เหมาะสำหรับการเดินเที่ยว แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบ เพราะบางวันจะได้ความร้อนมาแทน และนักท่องเที่ยวแออัดครับ
ส่วนฤดูร้อนก็แน่นอนว่าไม่แนะนำเลย 100% เพราะว่าจะร้อนแบบทะเลทราย ซึ่งทรมานมากครับ
วิธีการเดินทางและเที่ยวชมเพตรา
ซื้อทัวร์จากกรุงอัมมาน – วิธีที่ง่ายและสะดวกสบายที่สุดคือการซื้อทัวร์จากอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดน ซึ่งบริษัททัวร์จะนำคุณพร้อมกับเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ไปเที่ยวเพตรา และพากลับมาส่งที่โรงแรมของคุณ (ในกรณีที่เป็นทัวร์วันเดียว)
ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว วิธีนี้เหมาะมากกับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มาเป็นกลุ่ม (ยิ่งจองหลายคนจะยิ่งถูก) แถมบางทัวร์จะรวมที่พักหรือว่าสถานที่เที่ยวอื่นๆ ด้วยอย่างเช่นทะเลเดดซีหรือทะเลทรายวาดิรัมครับ อย่างไรก็ดีทัวร์เหล่านี้จะยังไม่รวมค่าเข้าชมเพตรา ซึ่งคุณจะต้องจ่ายแยก และบางทัวร์ก็ไม่ได้มี local guide ไปด้วย (ซึ่งราคาจะต่างไปครับ)
เพื่อความสะดวกสบายและยกเลิกได้ (จนกระทั่งถึง 7 วันก่อนเดินทาง) ผมแนะนำให้จองกับ Viator (บริษัทลูกของ TripAdvisor) ตามลิงค์ด้านล่างครับ ก่อนจองผมแนะนำอย่างยิ่งให้เลือกทัวร์ที่รีวิวสูงและมีผู้ใช้บริการจำนวนมากครับ
แต่ถ้าคุณอยากเดินทางไปเพตราด้วยตนเองไม่ผ่านทัวร์ คุณมีตัวเลือกดังต่อไปนี้
นั่งรถทัวร์ – ผู้บริการอย่างเช่น Jett มีรถบัสรับส่งจากอัมมาน (7th Circle), วาดิรัม, และอกาบา ไปยังเพตราทุกวัน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 10 ดีนาร์ หรือประมาณ 500 บาทต่อคนครับ
นั่งแท็กซี่ – คุณสามารถนั่งแท็กซี่จากกรุงอัมมานไปยังเพตราได้โดยตรง นอกจากนี้คุณสามารถเรียกแท็กซี่ได้จากสนามบินอัมมานได้เลยอีกด้วย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 85 ดีนาร์ หรือ 4,250 บาทกับระยะทาง 240 กิโลเมตร ถ้าลองหารกันดูแล้ว ราคาจะแพงกว่านั่งรถทัวร์ประมาณ 2-3 เท่าครับ
เช่ารถขับเอง – อีกทางเลือกสำหรับใครที่มั่นใจและชื่นชอบในการขับรถ คุณสามารถเช่ารถจากสนามบินและที่อื่นๆ ในกรุงอัมมานและขับไปเพตราด้วยตนเอง เท่าที่ผ่านตามา ผมมองว่าถนนของจอร์แดนมีคุณภาพดีพอสมควร แต่ก็มีความซับซ้อนในการขับพอตัวครับ ค่าเช่าถือว่าไม่แพงเลย โดยจะอยู่ที่ 500-1,500 บาทต่อวัน (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและช่วงเวลาที่จอง)
เช่ารถพร้อมคนขับ – ตัวเลือกที่พรีเมียมที่สุดในการเดินทางไปยังเพตรา นั่นคือรถพร้อมคนขับจะมารับคุณจากที่พักในกรุงอัมมาน และไปส่งคุณที่เพตรา และรับคุณกลับมาด้วย แต่ราคาจะสูงยิ่งไปกว่าแท็กซี่อีกครับ
ใช้เวลากี่วันในเพตราดี
โดยมากแล้วถ้าไปกับทัวร์ ส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์ 1 วัน (หรือแม้กระทั่ง 4 ชั่วโมงถ้าเป็นบริษัททัวร์จากไทย) ซึ่งทัวร์ 1 วันนี้จะเพียงพอสำหรับการเก็บไฮไลท์ทุกอย่างในเพตราครับ แต่แน่นอนว่าคุณจะมีเวลาในแต่ละที่ไม่มากนัก ดังนั้นการเที่ยวจะเร่งรีบมาก
ทั้งนี้ทางอุทยานเพตราแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน ซึ่งเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล เพราะเพตรามีอะไรให้คุณดูและสัมผัสมากมาย ผมมองว่าสองวันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ครับ
แต่สำหรับใครที่ชอบศิลปวัฒนธรรมและรักประวัติศาสตร์ ผมแนะนำให้ใช้เวลากับที่นี่อย่างน้อย 3 วันขึ้นไป เพราะคุณจะหาเมืองที่เป็นเมืองโบราณที่สภาพสมบูรณ์แบบเพตรานั้นแทบจะไม่มีอีกแล้วในโลกครับ
ค่าเข้าเพตราเท่าไร
การจะเดินทางไปเที่ยวด้านในเพตราจะต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยราคาจะอยู่ที่
- 1 วัน – 50 ดีนาร์ (ประมาณ 2,500 บาท)
- 2 วัน – 55 ดีนาร์ (ประมาณ 2,750 บาท)
- 3 วัน – 60 ดีนาร์ (ประมาณ 3,000 บาท)
จากด้านบนจะเห็นว่าตั๋วสองและสามวันคุ้มค่ากว่า ดังนั้นผมแนะนำอย่างยิ่งให้ซื้อสองวันขึ้นไปครับ แต่สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบไม่ต้องซื้อ เพราะเข้าฟรี
ข้อควรทราบอื่นๆ มีอะไรบ้าง
1. ไฮไลท์บางแห่งที่ผมแนะนำไปอาจจะเข้าถึงยาก และต้องอาศัยการปีนขึ้นไป ถ้าสภาพร่างกายของคุณไม่ไหว ผมไม่แนะนำให้เสี่ยงขึ้นไปครับ
2. ในการเที่ยวนครเพตรานั้น คุณจะต้องเดินทั้งวัน โดยรวมแล้วระยะทางทั้งหมดน่าจะเกินกว่า 15 กิโลเมตรต่อวัน ดังนั้นนี่จะไม่ใช่ทริปสำหรับใครที่ไม่ชอบเดิน จริงอยู่ว่าคุณอาจจะนั่งลา ม้า อูฐ หรือรถไฟฟ้าในเพตราได้ แต่ในสถานที่บางแห่ง คุณก็จำเป็นต้องเดินเท้าอยู่ดีครับ เพราะฉะนั้นก่อนบินมาจากกรุงเทพ คุณควรจะใส่รองเท้าสำหรับเดินที่ดีที่สุดที่คุณมีอยู่
3. น้ำไม่ใช่สิ่งที่หายากในเพตรา เพราะมีร้านค้าและร้านอาหารมากมายข้างใน แต่ระหว่างที่คุณอยู่ใน The Siq นั้นจะไม่มีของใดๆ ขาย ดังนั้นทางที่ดีคุณควรพกน้ำขวดเล็กๆ ติดตัวไว้ด้วยเสมอ
4. ห้องน้ำของเพตราสะอาดใช้ได้ และมีให้ใช้บริการหลายแห่ง แต่ด้วยความที่เพตราใหญ่ยักษ์ ห้องน้ำจึงไม่ได้มีทุกจุด ดังนั้นทางที่ดี ถ้ามีโอกาสก็ควรปลดทุกข์ให้เรียบร้อยครับ
จุดชมวิวหรือสถานที่บางแห่งเป็นหน้าผาที่สูง (มาก) ดังนั้นคุณควรใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และไม่ควรประมาทในทุกกรณี เคยมีนักท่องเที่ยวตกลงมาเสียชีวิตที่ Treasury Viewpoint เพราะมัวแต่ถ่ายรูปแล้วด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังไม่ควรออกนอกเส้นทางที่ทางเจ้าหน้าที่วางไว้เด็ดขาด
เนื่องจากโดยมากแล้ว นักท่องเที่ยวใช้เวลาที่นี่มากกว่า 1 วัน ดังนั้นถ้าคุณต้องการที่พักดีๆ ในเพตรา ผมแนะนำให้อ่านบทความแยกของผมเพิ่มเติม ซึ่งจะแนะนำที่พักที่คุ้มค่าและบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละแห่งอย่างละเอียดครับ
ไฮไลท์ของนครเพตราที่ไม่ควรพลาด
1. Bab Al Siq
หลังจากที่คุณผ่าน visitor center เข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่คุณจะพบพานก็คือ Bab Al Siq ซึ่งเป็นประตูเข้าสู่เมืองเพตรา บริเวณนี้เริ่มมีสิ่งก่อสร้างที่ชาวนาบาเทียนสร้างขึ้นโดยแกะสลักชั้นหินให้คุณได้ชมแล้ว ซึ่งส่วนนี้จะเป็นสุสานที่สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.40-70 ครับ
ด้านบนของสุสานจะเห็นสามเหลี่ยมทรงคล้ายพีระมิดซึ่งเรียกว่านาเฟช (Nafesh) สิ่งนี้ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นป้ายปักสุสานในปัจจุบันครับ
ใกล้กับสุสานจะมีหินทรายแกะสลักโบราณขนาดยักษ์ 3 ก้อน ซึ่งเรียกว่า Djinn Blocks คำว่า Dijnn นี้เป็นรากศัพท์ของจินนี่ (Genie) ในภาษาอังกฤษครับ โดยมีความหมายว่าวิญญาณ ในเพตรามีหินแบบนี้อยู่ทั้งหมด 26 ก้อนด้วยกัน แต่ทุกวันนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชาวเมืองในอดีตใช้หินเหล่านี้ไว้ทำอะไร
อย่างไรก็ดีหินสามก้อนที่ Bab Al Siq เป็นจุดสังเกตที่บอกนักท่องเที่ยวว่าคุณได้เดินทางมาถึงนครหินแกะสลักโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้วครับ
2. The Dam
The Dam คือพื้นที่จัดการน้ำหรือเขื่อนโบราณที่สร้างโดยชาวนาบาเทียนที่ใช้ป้องกันเมืองเพตราจากน้ำท่วม แม้ว่าแทบนี้จะเป็นทะเลทรายแต่ก็มีโอกาสที่น้ำจะท่วมได้เช่นกันจากฝนตก และน้ำที่ไหลมาจากหุบเขาครับ
รัฐบาลจอร์แดนได้บูรณะตัวพื้นที่จัดการน้ำแห่งนี้ในปี ค.ศ.1964 โดยใช้เทคนิคเดิมที่ชาวนาบาเทียนใช้เมื่อ 2,000 ปีก่อน เนื่องจากตัวเขื่อนสร้างโดยใช้หินทราย ดังนั้นถ้าดูเผินๆ จะกลมกลืนมากกับภูเขาหินของ The Siq ครับ
ถ้าคุณเห็น The Dam นั่นแปลว่าคุณได้เข้าสู่พื้นที่ของ The Siq แล้วครับ
3. The Siq
The Siq หรือ Al Siq เป็นทางเข้าเมืองเพตราที่ชาวนาบาเทียน รวมไปถึงกองคาราวานค้าขายใช้เข้าออกเมืองตั้งแต่โบราณ ช่องเขาแห่งนี้นั้นกว้างแค่ 3-12 เมตร แต่สูงถึง 80 เมตร และมีลักษณะคดเคี้ยวไปมา ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติครับ จากการศึกษาพบว่าชาวนาบาเทียนเชื่อว่า The Siq เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ครับ
ตอนที่ผมเดินเข้าไปครั้งแรก ผมบอกเลยว่าผมประทับใจในความอัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างมาก เพราะมันช่างอลังการและตระการตาไปในคราวเดียวครับ และยังรู้สึกเย็นประหลาดๆ ด้วย
ตลอดเส้นทางกว่า 1.2 กิโลเมตรของ The Siq นั้นจะมีสิ่งก่อสร้างของชาวนาบาเทียนแอบซ่อนอยู่ อย่างเช่นอุโมงค์ใต้ดินซึ่งเชื่อว่าทหารรักษาเมืองน่าจะเคยใช้อยู่อาศัย รวมไปถึงรูปปั้นเทพเจ้าและคูน้ำที่ลำเลียงน้ำเข้ามาด้านในเมืองครับ และถ้าคุณสังเกตดีๆ บางส่วนของพื้น The Siq จะปูด้วยพื้นหินอย่างดี ซึ่งนั่นเป็นของเดิมแท้ๆ เลยครับ
ที่น่าเสียดายคือในอดีตบริเวณทางเข้า The Siq จะมีประตูโค้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วย แต่พังลงมาแล้วเพราะว่าแผ่นดินไหวในช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ แต่ปัจจุบันก็ยังพอหลงเหลือซากอยู่บ้าง
เนื่องจาก The Siq มีระยะทางที่ยาวพอสมควร หลายคนที่ไม่อยากเดินสามารถนั่งรถกอล์ฟไฟฟ้า (Club Car) จาก Visitor Center เข้าไปถึง Treasury แทนได้ (เคยเป็นรถม้า แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนแล้ว) ราคาไปกลับอยู่ที่ 25 ดีนาร์ต่อคน ซึ่งสูงมาก นอกจากนี้คุณจะผ่าน The Siq ไปไวเกินที่จะสัมผัสบรรยากาศใดๆ
ผมจึงไม่แนะนำให้นั่ง นอกจากว่าเดินไม่ไหวในช่วงขากลับครับ (ขาเดียวอยู่ที่ 15 ดีนาร์)
4. The Treasury (Al Khazna)
เมื่อคุณเดินทางมาถึงปลายสุดของ The Siq แล้วนั้น The Treasury ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของเพตรา และเป็นสัญลักษณ์ว่าคุณได้มาถึงเพตราแล้วก็จะปรากฏให้เห็นทีละน้อย จนสุดท้ายคุณจะสัมผัสกับความอลังการได้อย่างเต็มๆ ตา
ทั้งนี้ตัว The Treasury นั้นสูงถึง 40 เมตร และมีทั้งหมดสองชั้น โดยแต่ละชั้นมีเสาแบบโครินเทียนส์ขนาดใหญ่ตั้งค้ำยันเอาไว้ แต่ละส่วนได้รับการแกะสลักเข้าไปในช่องเขาอย่างประณีตและงดงาม แสดงให้เห็นถึงทักษะอันยอดเยี่ยมทางด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของชาวนาบาเทียนครับ นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงวัฒนธรรมแบบ Hellenistic ที่ชาวนาบาเทียนได้รับมาจากชาวกรีกอีกด้วย
ทุกวันนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชาวนาบาเทียนสร้างสถานที่แห่งนี้เอาไว้ทำอะไร บ้างว่าใช้เป็นวิหารหรือใช้เป็นคลังสินค้าครับ
โดยส่วนตัวผมมองว่าวิวจากด้านล่างนั้นสวยเพียงพออยู่แล้ว แต่ถ้าคุณพร้อมและรักในการผจญภัย คุณสามารถขึ้นไปที่จุดชมวิว (Treasury Viewpoint) ซึ่งจะเห็นสิ่งก่อสร้างแห่งนี้จากมุมสูงได้ครับ แน่นอนว่าความสวยจะเหนือกว่าข้างล่างแบบสุดๆ
จุดชมวิวที่ว่านี้มีสองฝั่ง แต่ละฝั่งอยู่ใกล้กันแต่อยู่คนละด้านของหน้าผา ดังนั้นทั้งสองฝั่งจะไม่ได้เชื่อมต่อกันครับ โดยวิธีการขึ้นมีสองแบบด้วยกันได้แก่
- ปีนขึ้นไปตรงๆ – วิธีนี้อันตรายมากแต่ถึงเร็วที่สุด โดยจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น ถ้าจะขึ้นไปจริงๆ ผมแนะนำให้จ้างไกด์ชาวเบดูอินพาขึ้นไปครับ
- เดินอ้อมขึ้นไป – มีเส้นทางที่คุณสามารถขึ้นไปจุดชมวิวได้ แต่จะใช้เวลา 1-1.5 ชั่วโมง ในการเดินขึ้นไปถือว่าเสี่ยงน้อยกว่าแบบแรก แต่ก็ต้องอาศัยร่างกายที่พร้อมอยู่ดี
เวลาที่อยู่ที่จุดชมวิว คุณต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะนั่นเป็นหน้าผาแบบไม่มีอะไรกั้น ถ้าคุณลื่นตกลงไป โอกาสเสียชีวิตคือ 100% ครับ เพื่อความปลอดภัยผมแนะนำให้ชาวพื้นเมืองพาขึ้นไปดีกว่าครับ
5. Street of Facades
หลังจากที่คุณเดินผ่าน The Treasury เข้ามา สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า Street of Facades จะเผยโฉมออกมาต้อนรับคุณครับ
เจ้าสิ่งนี้คือหมู่สุสานของชาวนาบาเทียนที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ และสร้างจากการแกะสลักเข้าไปในตัวภูเขาหิน โดยตรง ซึ่งจากการตรวจสอบของนักโบราณคดีคาดว่าน่าจะเป็นของชนชั้นสูงหรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์ครับ
ใกล้กับบริเวณนี้จะมีห้องน้ำและร้านอาหารให้คุณได้นั่งพักและจิบเครื่องดื่มแสนอร่อยของจอร์แดน (เช่นน้ำทับทิมและกาแฟ) ครับ
6. The Theater
The Theater เป็นสถานที่ต่อไปที่คุณจะได้พบ นั่นคือโรงละครกลางแจ้ง (Amphitheater) ที่สร้างขึ้นโดยชาวนาบาเทียนในช่วง 20 ปีก่อนคริสตกาล และรองรับผู้คนได้มากถึง 4,000 คน ต่อมาเมื่อชาวโรมันได้ปกครองที่นี่ได้บูรณะซ่อมแซม และต่อเติมกำแพงพื้นที่จัดแสดงครับ
ตัวโรงละครอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากเลยทีเดียว สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของคุณคือของแท้แบบดั้งเดิมที่มีคนโบราณใช้จริงๆ เมื่อสองพันปีก่อน โดยไม่ได้มีการสร้างใหม่เมื่อไม่นานเหมือนกับบางแห่งครับ
7. High Place of Sacrifice
ไม่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป
High Place of Sacrifice เป็นปูชนียสถานของชาวนาบาเทียนที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิน ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ทางศาสนาของชาวนาบาเทียน โดยเมื่อคุณมาถึงแล้วคุณจะเห็นเสาหินโอเบลิสค์สองต้นที่อุทิศให้กับเทพเจ้าสององค์ และซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าครับ
แม้ว่าด้านบนจะไม่ได้มีอะไรมหัศจรรย์เท่าไรนักถ้าเทียบกับด้านล่าง แต่ตลอดเส้นทาง คุณจะได้ชมวิวนครเพตราจากมุมสูง ซึ่งรวมไฮไลท์อื่นๆ สำคัญทั้งหมด นอกจากนี้เส้นทางสู่ High Place of Sacrifice จะผ่านหนึ่งในสอง Treasury Viewpoint ด้วยครับ
ทั้งนี้การขึ้นไป High Place of Sacrifice นั้นสามารถจ้างไกด์ได้ แต่นักท่องเที่ยวตะวันตกมักจะแนะนำกันว่าไม่ต้องใช้บริการไกด์ ซึ่งผมมองต่างออกไป เพราะจากที่ผมเห็นกับตา เส้นทางสูงชันไม่น้อย และถ้าไปผิดจุดอาจจะอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัย ผมแนะนำว่าจ้างไปเถอะครับ แค่ต่อราคาหนักๆเท่านั้นเอง (ผมว่าคนไทยทำได้สบายอยู่แล้ว)
8. Royal Tombs
Royal Tombs หรือสุสานหลวงตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองเพตรา ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าน่าจะใช้ฝังร่างของกษัตริย์ของชนชั้นสูงชาวนาบาเทียนครับ ตัวสุสานถูกแกะสลักเข้าไปในตัวภูเขาอย่างประณีตและได้รับแต่งเติมและประดับประดาอย่างงดงาม โดยประกอบด้วยสุสาน 4 แห่งได้แก่
1. Palace Tombs – ตัวสุสานประกอบด้วยประตู 4 แห่งและเสาเรียงรายกันไปอีกเกือบยี่สิบต้น ด้วยความที่ตัวสุสานรูปร่างเหมือนกับพระราชวัง (ผู้สร้างน่าจะจงใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะรูปร่างคล้ายกับ Golden House of Nero ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโรม) นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อสุสานแห่งนี้ครับ
สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของสุสานแห่งนี้คือ บริเวณด้านบนของสุสานนั้นไม่ได้แกะสลักเข้าไปในภูเขา แต่เป็นผลงานการสร้างของชาวนาบาเทียนขึ้นมาทั้งหมด และตัวด้านหน้า (Facade) ถือว่าใหญ่และสูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของเพตราครับ
ด้านใน Palace Tombs มีห้องฝังศพ 4 ห้อง ซี่งแต่ละห้องมีลวดลายในการตบแต่งที่ต่างกันไปครับ
2. Urn Tomb – ตัวสุสานมีลักษณะโดดเด่นตรงที่บริเวณสามเหลี่ยมด้านหน้าของสุสานถูกครอบด้วยโอ่ง ทั้งนี้มีหลักฐานว่าในช่วงที่ชาวไบแซนไทน์ปกครองเมืองนี้ สุสานนี้ได้แปรสภาพเป็นโบสถ์คริสต์ครับ
3. Silk Tomb – สุสานหลวงที่ได้ชื่อมาจากลวดลายหลากสีบริเวณด้านหน้าของสุสานที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับลายผ้าไหม ตัวสุสานนี้ถือว่าสวยงามมากครับ
4. Corinthian Tomb – รูปร่างของตัวสุสานแห่งนี้คล้ายกับ The Treasury แต่มีขนาดเล็กกว่าและได้รับการตบแต่งน้อยกว่า นอกจากนี้ด้านหน้านั้นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมากที่สุดในเมืองเพตราอีกด้วย ใกล้กับตัวสุสานมีอ่างล้างมือโบราณอยู่ ซึ่งเชื่อกันว่าใช้ทำความสะอาดมือก่อนเข้าพิธีกรรมครับ
9. The Colonnaded Street
The Colonnaded Street เป็นถนนในเพตราซึ่งเมื่อผมเดินไปเห็นครั้งแรกแล้ว รู้สึกเหมือนว่าอยู่ในเมืองกรีก-โรมันเสียมากกว่า แต่จริงๆ แล้วถนนแห่งนี้เป็นถนนคนเดินของเมืองเพตราที่ถูกสร้างโดยชาวนาบาเทียนครับ ตลาดขนาดใหญ่ของเมืองก็ตั้งอยู่ที่นี่ยาวนานกว่า 600 กว่าปี จนกระทั่งเพตรากลายเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 7
ตัวถนนได้รับการปูพื้นอย่างดี และเป็นระเบียบ รวมไปถึงมีระบบระบายน้ำที่ช่วยให้น้ำไม่ท่วมอีกด้วย ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงฝีมือทางด้านวิศวกรรมชั้นยอดของชาวนาบาเทียนครับ
10. The Great Temple
The Great Temple เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพตรา จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือสถาปัตยกรรมเป็นการผสมผสานระหว่างแบบกรีก-โรมัน และแบบพื้นเมือง โดยด้านนอกเป็นสีแดง-ขาว ซึ่งงดงามอย่างมากเลยครับ
อย่างไรก็ดีเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า สิ่งก่อสร้างอันใหญ่โต (7,560 ตารางเมตร) แห่งนี้สร้างเอาไว้เพื่อเป็นสถานที่ทางศาสนาหรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ (บ้างว่าเป็นโรงละคร เพราะด้านในมีห้องที่จุดคนได้ถึง 600 คน) แต่ที่แน่ๆ ในช่วงวาระสุดท้ายของเพตรา ที่นี่ยังถูกใช้งานอยู่ครับ
11. Winged Lion Temple
แม้ว่าเพตราจะอยู่ค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ.1812 แต่สิ่งก่อสร้างแห่งนี้กลับถูกค้นพบในปี ค.ศ.1973 ด้วยการใช้เทคโนโลยี electronic sounding ครับ
ที่นี่เป็นมหาวิหารหรือสถานที่ทางศาสนาอันเก่าแก่เพราะมีรูปปั้นเทพเจ้าประดิษฐานไว้อยู่ด้วย (รวมไปถึงสิงโตมีปีก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวิหารแห่งนี้) แต่ที่น่าแปลกคือรูปปั้นเหล่านี้คือเทพเจ้าอียิปต์อย่างเช่นไอซิสและโอซิริส และมีอายุย้อนไปได้ถึงช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาล หรือว่าก่อนที่ชาวนาบาเทียนจะปกครองเพตราเสียอีก
จากการตรวจสอบจึงเชื่อได้ว่า ที่นี่ถูกสร้างและต่อเติมมาเรื่อยๆ แต่ได้รับความเสียหายยับเยินในแผ่นดินไหวปี ค.ศ.363 ครับ
12. Petra Church
Petra Church เป็นสิ่งก่อสร้างไม่กี่แห่งในเมืองเพตราที่ไม่ได้สร้างโดยชาวนาบาเทียน แต่สร้างโดยชาวไบแซนไทน์ที่ปกครองเพตรา ตัวโบสถ์ถือว่าเป็นโบสถ์คริสต์หลังที่สองในเมือง (โบสถ์หลังแรกคือ Urn Tomb ที่ถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์)
ตัวโบสถ์ถือว่าเป็นโบสถ์คริสต์สร้างจากหินอ่อน (Marble Church) ที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาค โดยยังเห็นพื้นโมเสกเก่าแก่ได้อยู่ เช่นเดียวกับพื้นหินอ่อนและรูปลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงถึงสี่ฤดูกาลและสัตว์ต่างๆ ครับ
13. The Monastery
ควรตัดสินใจให้ดีก่อนขึ้น
The Monastery หรือ Al Deir เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเพตรา ด้านหน้าของ The Monastery รูปร่างคล้ายกับ The Treasury ครับ แม้ว่าจะใหญ่กว่า แต่ได้รับการตบแต่งที่ประณีตน้อยกว่า ในอดีตที่นี่เคยใช้เป็นที่ประชุมของเหล่านักบวช ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นโบสถ์คริสต์ในยุคไบแซนไทน์
จุดเด่นของที่นี่คือมีการใช้สถาปัตยกรรมหลายแบบผสมผสานกันทั้งของนาบาเทียน แบบกรีก-โรมัน และบางส่วนของเมโสโปเตเมีย และแกะสลักเข้าไปในตัวภูเขา ความยิ่งใหญ่และสวยงามของที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของเพตราครับ
แม้ว่าที่นี่เป็นไฮไลท์อันดับต้นๆ ของเพตรา การขึ้นไปยัง The Monastery จะต้องปีนบันไดขึ้นไป 800 ขั้น ซึ่งอาจจะใช้เวลาได้ถึงสองชั่วโมงด้วยกัน ดังนั้นอาจจะไม่เหมาะเท่าไรสำหรับใครที่สุขภาพร่างกายไม่พร้อมครับ
14. Petra by Night
Petra by Night เป็นกิจกรรมที่จัดในช่วงค่ำทุกวันจันทร์ พุธ และพฤหัสบดีที่เพตรา ซึ่งทางอุทยานจะจุดเทียนตามเส้นทาง The Siq ไปจนถึง Treasury รวมแล้วมีเทียนกว่า 1,500 เล่มด้วยกัน เปิดโอกาสให้คุณได้ชมความงดงามของเพตราในเวลาค่ำคืนที่สวยมากยิ่งไปไม่น้อยกว่าช่วงกลางวันครับ
ค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 17 ดีนาร์ครับ สำหรับทัวร์ความยาวสองชั่วโมงด้วยกัน (เริ่มต้นสองทุ่มครึ่ง เสร็จที่เวลาสี่ทุ่มครึ่งครับ)
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งว่าในบทความนี้มี Affiliate Links หรือแปลว่าถ้าคุณจองทัวร์หรือบริการท่องเที่ยวเพตราผ่านลิงค์ในบทความ ผมจะได้ส่วนแบ่งจากทางผู้ให้บริการครับ