หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักที่นี่ว่าเป็นหมู่บ้านหิมะญี่ปุ่นซึ่งมีความสวยงามและโรแมนติกที่ให้ความประทับใจอย่างมากต่อผู้มาเยือนครับ
นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว หมู่บ้านชิราคาวาโกะยังมีความโดดเด่นทางวัฒนธรรมอย่างมากด้วย ทำให้ตัวหมู่บ้านชิราค่าวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกครับ
ในบทความนี้ ผมจึงจะมาเล่าประวัติและความเป็นมาของตัวหมู่บ้านโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะไปว่ากันถึงการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ เป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาและประวัติของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
ชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ (Gifu Prefecture) และถูกโอบล้อมโดยเทือกเขาเรียวฮากุ (Ryohaku Mountains) ที่มีแม่น้ำโช (Sho River) ไหลผ่าน ซึ่งตัวหมู่บ้านก็ริมแม่น้ำแห่งนี้นี่เอง ดังนั้นชิราคาวาโกะจึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาครับ
บริเวณโดยรอบหมู่บ้านถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า นักบวชสายชูเก็นโด (Shugendo) นามว่าไทโชเคยเดินทางถึงจุดสูงสุดของยอดเขาฮาคุ ยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขาเรียวฮากุในชวงศตวรรษที่ 8 ดังนั้นเหล่าสานุศิษย์จึงถือว่ายอดเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ทางศาสนา และนิยมเดินทางมาแสวงบุญกันนับตั้งแต่บัดนั้น
อย่างไรก็ดีในช่วงยุคกลาง บริเวณหมู่บ้านได้อยู่การควบคุมดูแลของสงฆ์นิกายเท็นได (Tendai) ก่อนที่จะสานต่อโดยสงฆ์นิกายโจโดชิน (Jodo-Shin) แต่ตัวหมู่บ้านก็อยู่ในความสงบตลอดมา เพราะชิราคาวาโกะและทาคายาม่าเป็นพื้นที่เข้าถึงยาก และแยกจากส่วนอื่นของประเทศโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นไม่มีความสำคัญใดๆ ทางยุทธศาสตร์
ด้วยเหตุนี้ตัวหมู่บ้านจึงอยู่รอดปลอดภัยมาทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าซามูไรหรือนักรบที่แพ้ศึกและหลบหนีการจับกุมมักจะหลบหนีมาอยู่ที่นี่ก็ตามครับ
ชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่าชาวบ้านที่นี่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพราะหมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นที่สูงถึง 96% และแทบไม่มีที่ราบเลย (แบบขั้นบันไดก็ไม่ค่อยมีด้วย) ดังนั้นการปลูกข้าวที่ต้องใช้พืื้นที่จำนวนมากจึงปลูกไม่ได้
จุดเด่นของตัวหมู่บ้านคือ บ้านสวนในรูปแบบของกาสโชสึคูริ (Gassho-Zukuri) ซึ่งจุดเด่นจะอยู่ที่ตัวหลังคาจะลาดชันเหมือนกับการพนมมือไหว้ และการสร้างทั้งตัวบ้านจะไม่ได้ใช้ตะปูสักตัวเดียวอีกด้วย
บ้านสไตล์นี้ส่วนมากจะมี 3-4 ชั้น และบริเวณตัวบ้านจะมีฟาร์มเล็กๆ ของเจ้าของบ้านใช้ประกอบกิจกรรมทางการเกษตร รวมไปถึงการเลี้ยงไหมครับ
ส่วนมากแล้วบ้านสวนแบบกาสโชสึคูริที่หลงเหลือมาถึงทุกวันนี้จะสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่บ้านที่เก่ากว่านั้นก็ยังมีเช่นกัน บ้านจำนวนมากยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ แต่บางหลังก็เปลี่ยนสภาพเป็นร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปยังชิราคาวาโกะทำอย่างไร?
การเดินทางมายังชิราคาวาโกะนั้นเริ่มต้นได้จากหลายแห่งในญี่ปุ่น ดังนั้นคุณสามารถเลือกสนามบินได้หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว นาโกย่า และโอซาก้า (แต่จากนาโกย่าจะง่ายที่สุด) โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
เช่ารถ – เช่าและรับรถที่สนามบินนาริตะ ฮาเนดะ หรือคันไซ หลังจากนั้นก็ขับมายังหมู่บ้านชิราคาวาโกะโดยตรงจะเป็นหนึ่งในวิธีการที่ง่าย สบาย และเร็วที่สุด (ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง) เพราะไม่ต้องเปลี่ยนหรือรอรถใดๆ เลยครับ นอกจากนี้ยังเดินทางไปในบริเวณโดยรอบอย่างง่ายดายด้วย แต่ก็ต้องแลกกับค่าน้ำมันและค่าที่จอดรถที่ Seseragi Park (1,000 เยน)
อย่างไรก็ดีในช่วงฤดูหนาว การขับรถไปยังชิราคาวาโกะเองถือว่ายากมาก และไม่แนะนำ เพราะถนนจะลื่นมาก ถ้าไม่ชำนาญอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงครับ
นั่งชินคันเซนและรถบัสจากโตเกียวไปชิราคาวาโกะ
- ผ่านโทยามะ – นั่งชินคันเซนสายโฮคุริคุ (Hokuriku) ขบวนไหนก็ได้ จากโตเกียวไปยังโทยามะ หลังจากนั้นก็นั่งรถบัส (Nohi Bus) ไปยังชิราคาวาโกะโดยตรง การเดินทางวิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง (ไม่รวมนั่งรอรถบัส)
- ผ่านชินทาคาโอกะ – นั่งชินคันเซนสายโฮคุริคุ ขบวนฮาคุตากะ (Hakutaka) หรือซุรุกิ (Tsurugi) ไปลงที่สถานีชินทาคาโอกะ (Shin Takaoka) หลังจากนั้นก็นั่งรถบัส (Kaetsunou Bus) เข้าชิราคาวาโกะ การเดินทางวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง (ไม่รวมรอรถบัส) แต่จะวิวสวยๆ ของสองหมู่บ้านย่อยของชิราคาวาโกะอย่างไอโนคุระ และซูกะนุมะ
- ผ่านคานาซาว่า – นั่งชินคันเซนสายโฮคุริคุขบวนไหนก็ได้เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนไปลงคานาซาว่า หลังจากนั้นก็นั่งรถบัส (Nohi Bus) เข้าหมู๋บ้านชิราคาวาโกะ วิธีนี้ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง (ไม่นับการรอรถบัส)
นั่งรถบัสจากนาโกย่าไปชิราคาวาโกะ
- นั่งรถบัสไปโดยตรง – คุณสามารถเดินทางไปชิราคาวาโกะโดยตรงจากนาโกย่าโดยขึ้นรถบัส (Gifu Bus) ที่ Meitetsu Bus Station การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
นั่งรถไฟและรถบัสจากโอซาก้าไปชิราคาวาโกะ
- ผ่านคานาซาว่า – นั่งรถด่วน JR Express Thunderbird ไปลงคานาซาว่า หลังจากนั้นก็นั่งรถบัส (Nohi Bus) เข้าชิราคาวาโกะ วิธีนี้จะใช้เวลา 4 ชั่วโมง (ไม่รวมรอรถบัส)
นอกจากนี้สำหรับใครที่ไปเที่ยวทาคายาม่าอยู่แล้ว สามารถนั่งรถบัสโดยตรงจากตัวเมืองมายังชิราคาวาโกะได้เลยครับ ซึ่งจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงชิราคาวาโกะแล้ว
อ้างอิงจาก Shirakawa-go Tourist Association (2022) และ Shirakawa-go Tourist Information ถ้าสงสัยตรงนี้สามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้จาก link ครับ
ไปเที่ยวชิราคาวาโกะช่วงไหนดี
หมู่บ้านชิราคาวาโกะมีความสวยงามในทุกฤดู ดังนั้นจะไปช่วงไหนก็สวยเช่นเดียวกัน ทว่าแต่ละช่วงจะสวยในแบบที่ต่างกันไปครับ
ช่วงฤดูหนาว – ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ชิราคาวาโกะกลายเป็นหมู่บ้านหิมะสุดสวยของญี่ปุ่นที่หลายคนประทับใจมาก หิมะจะเริ่มตกในช่วงต้นเดือนธันวาคม และจะตกอย่างมากมายตลอดช่วงฤดูหนาวไปจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยของชิราคาวาโกะในช่วงนี้จะอยู่ที่ -1 ถึง 2 องศา แต่ก็มีโอกาสจะต่ำกว่านั้นได้เช่นกัน
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ – ช่วงนี้เป็นอีกช่วงที่ชิราคาวาโกะได้รับความนิยมมาก เพราะมีดอกซากุระผลิบานให้ได้ชม ช่วงที่ดีที่สุดคือสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายนครับ
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง – อีกช่วงระดับท็อป เพราะใบไม้ทั่วทั้งหุบเขาจะเปลี่ยนสี และทำให้หมู่บ้านชิราคาวาโกะราวกับว่าอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว ซึ่งถ้าอยากไปชม ช่วงที่ดีที่สุดคือปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนครับ
ช่วงฤดูร้อน – ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุด นั่นคืออากาศจะไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป จุดเด่นอยู่ที่ในช่วงนี้ดอกไม้ส่วนใหญ่จะเบ่งบาน และมีหิ่งห้อยให้ชมเวลาตอนกลางคืน แต่ผมมองว่าโดดเด่นน้อยกว่าในช่วงอื่นๆ ครับ
สำหรับใครที่กำลังหาที่พักในหมู่บ้านแห่งนี้ สามารถอ่านบทความที่พักดีๆ ในชิราคาวาโกะของผมได้ครับ
1. เยี่ยมชมหมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi Village)
หมู่บ้านโอกิมาจิเป็นหมู่บ้านย่อยของชิราคาวาโกะ และเป็นไฮไลท์ของตัวหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ตัวหมู่บ้านมีบ้านแบบกาสโชซูคุริจำนวน 59 หลัง โดยบางหลังเก่าแก่มากกว่า 250 ปี และย้อนไปได้ถึงสมัยเอโดะเลยทีเดียว
ในปัจจุบันบ้านแบบกาสโชซูคุริหลายแห่งได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีแห่งที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- บ้านนากาเสะ (Nagase House) – บ้านสไตล์นี้ที่สูงที่สุดในหมู่บ้าน โดยมี 5 ชั้นด้วยกัน เจ้าของบ้านนั้นประกอบอาชีพเป็นแพทย์มาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นในบ้านจะจัดแสดงเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ที่ตกทอดกันมา ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์เลี้ยงไหมด้วยครับ
- บ้านทาจิมะ (Tajima House) – บ้านแบบกาสโชซูคุริที่จัดแสดงอุปกรณ์เลี้ยงไหม ตลอดจนกรรมวิธีการเลี้ยงไหมแบบโบราณของญี่ปุ่นครับ
- บ้านคันดะ (Kanda House) – ตัวบ้านเป็นบ้านเก่าแก่อายุกว่า 160 ปี และตั้งอยู่กลางหมู่บ้านพอดี ทำให้ขึ้นไปชมด้านบนจะเห็นวิวสวยๆ โดยรอบของหมู่บ้านโอกิมาจิ นอกจากนี้ชั้นล่างของบ้านยังจัดแสดงอุปกรณ์ที่ชาวบ้านสมัยโบราณใช้ผลิตดินปืนอีกด้วยครับ
- บ้านวาดะ (Wada House) – บ้านแบบกาสโชสึคูริที่ใหญ่ที่สุดในชิวาคาวาโกะ โดยบ้านนี้เป็นของตระกูลวาดะที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับบริเวณโดยรอบ ใกล้กับตัวบ้านมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่สวยงามมากครับ
2. ชมวิถีชีวิตชาวบ้านที่ Open-air Museum
Gassho-zukuri Minkaen เป็นพิพิธภัณฑ์แบบ open-air ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านโอกิมาจิ โดยที่นี่จะประกอบด้วยบ้านแบบกาสโชสึคูริถึง 25 หลังที่ถูกย้ายมาจากที่อื่นเพื่อเก็บรักษาที่นี่ โดยอาคารแต่ละหลังจะต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงสี ศาลเจ้า ฯลฯ ซึ่งคุณสัมผัสบรรยากาศโบราณของญี่ปุ่นได้อย่างเต็มอิ่มเลยครับ
นอกจากการไล่ชมบ้านแต่ละหลังแล้ว คุณยังสามารถลองชิมโซบะเส้นสด ซื้อของที่ระลึก หรือว่านั่งเล่นในจุดที่เปิดให้นักท่องเที่ยวพักผ่อนได้อีกด้วยครับ
3. ชมศิลปะโบราณที่ศาลเจ้าเมียวเซ็นจิ
ศาลเจ้าเมียวเซ็นจิ (Myozenji) เป็นสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในชิราคาวาโกะ โดยตัววัดสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18-19 และในปัจจุบันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ คุณสามารถชมหอระฆัง กุฏิสงฆ์ และวิหารหลัก ซึ่งสร้างขึ้นในรูปแบบที่กลมกลืนกับบ้านแบบกาสโชสึคูริครับ
ภายในวัดมีภาพเขียนสีสวยงามหลายภาพด้วยกัน ซึ่งแต่ละภาพวาดโดย ฮามาดะ ไทสุเกะ ศิลปินที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นครับ
4. สักการะศาลเจ้าชิราคาวา ฮาจิมัน
ศาลเจ้าชิราคาวา ฮาจิมัน (Shirakawa Hachiman Shrine) เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญที่สุดในหมู่บ้านโอกิมาจิ โดยตัวศาลเจ้าสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพเจ้าแห่งสงครามในช่วงยุคเอโดะ เพราะในช่วงนั้นเหล่านักรบซามูไรมีอิทธิพลมากครับ
อย่างไรก็ดีตัวศาลเจ้าได้กลายเป็นศาสนสถานของพุทธและชินโตผสมกัน และมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในศาลเจ้าด้วย ในช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีคำสั่งให้แยกศาสนสถานพุทธและชินโตออกจากกัน แต่ด้วยความที่ชิราคาวาโกะเป็นเขตชนบท คำสั่งดังกล่าวจึงถูกละเลยอย่างเงียบๆ ในปัจจุบันตัวศาลเจ้าจึงยังมีทั้งส่วนที่เป็นพุทธและชินโตเหมือนในยุคเอโดะครับ
5. ชมวิวที่จุดชมวิวปราสาทโอกิมาจิ
จุดชมวิวปราสาทโอกิมาจิ หรือ Ogimachi Castle Observation Point และจุดชมวิวชิโรยามา (Shiroyama) เป็นสองจุดอยู่ใกล้กัน ซึ่งอยู่บนที่สูงตอนเหนือของหมู่บ้านครับ
บริเวณนี้เป็นจุดที่ปราสาทโอกิมาจิเคยตั้งอยู่ในอดีต แต่ในปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของชิราคาวาโกะ สำหรับใครที่อยากเก็บภาพสวยๆ ที่นี่ถือว่าน่าสนใจมากครับ
จากใจกลางหมู่บ้าน คุณสามารถเดินเท้าไปได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือนั่งรถบัส (10 นาที) ครับ
6. ช็อปปิ้งและหาอะไรกินที่ชิราคาวาโกะ-ไคโด
ชิราคาวาโกะ ไคโด (Shirakawa-go Kaido) เป็นถนนหลักที่เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านโอกิมาจิ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รวมไปถึงร้านค้าอื่นๆ
ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับใครที่อยากจะลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นรสชาติดีของชิราคาวาโกะ อย่างเช่นเนื้อฮิดะ หรือว่าโมจิย่างซอสมิโซะเสียบไม้ครับ
7. แช่ออนเซ็น
นักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่ทราบว่าชิราคาวาโกะมีบ่อน้ำแร่ตามธรรมชาติตั้งอยู่ด้วย ซึ่งคุณสามารถเดินทางไปใช้บริการแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายได้ครับ ซึ่งตัวสถานที่เองก็ไม่ได้ห่างจากใจกลางหมู่บ้านเท่าไรนัก โดยอยู่ที่ชิราคาวาโกะ โนะ ยู (Shirakawago No Yu) ครับ
8. ชมแสงไฟจากบ้านสวนในช่วงฤดูหนาว
ในช่วงเย็นวันอาทิตย์ของเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ชาวเมืองจะเปิดไฟตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง ซึ่งจะทำให้บ้านแบบกาสโชสึคูริทอแสงและสวยงามตระการตายิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะแสงไฟจะตัดกับหิมะสีขาวที่ปกคลุมตัวหมู่บ้านแห่งนี้
ถ้าคุณเลือกไปชิราคาวาโกะในช่วงนั้น อย่าลืมไปที่จุดชมวิวเพื่อชมความงดงามอย่างเต็มๆ ตาครับ
9. เยี่ยมชมหมู่บ้านไอโนคุระ และซูกะนุมะ
หมู่บ้านไอโนคุระ (Ainokura) และซูกะนุมะ (Suganuma) เป็นหมู่บ้านมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเขตมรดกโลกชิราคาวาโกะ-โกคายาม่า โดยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดโทยามะ
การเดินทางเข้าถึงทั้งสองแห่งนี้ยากกว่าโอกิมาจิ ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนมากไม่ค่อยเดินทางมาเท่าไรนัก
ด้วยเหตุนี้เอง หมู่บ้านเหล่านี้จึงอนุรักษ์วัฒนธรรมแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายๆ ครอบครัวยังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านแบบกาสโชสึคูริที่มีมากกว่า 20 หลังด้วยกัน ใครที่อยากชมความสวยงามของตัวบ้านแบบเงียบๆ ไม่ควรพลาดที่นี่เลยครับ
ภายในทั้งสองหมู่บ้านจะมีพิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงวัฒนธรรมพื้นเมืองของตนเอง (Folklore Museum) รวมไปถึงบ้านแบบกาสโชสึคูริอันเก่าแก่กว่า 300 ปี (Iwase Residence ที่ซูกะนุมะ และ Murakami Residence ที่ไอโนคุระ) และโรงอาบน้ำสำหรับการแช่ออนเซ็นอีกด้วยครับ
นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีร้านอาหาร ร้านค้า รวมไปถึงเกสต์เฮ้าส์ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งที่เปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ของชิราคาวาโกะครับ
10. นอนพักค้างคืนที่บ้านกาสโชสึคูริ
วิธีการสัมผัสชิราคาวาโกะที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น การได้ลองนอนพักในบ้านแบบกาสโชสึคูริสักคืนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันได้มีเกสต์เฮ้าส์บริการอยู่หลายแห่งด้วยกัน
รูปแบบการนอนแน่นอนว่าจะเป็นแบบเรียวกัง ซึ่งห้องพักจะไม่มีเตียงแบบตะวันตก แต่คุณจะได้นอนบนฟูกนิ่มๆ ที่เรียกว่าฟุตง (Futon) แทนครับ รับรองได้ว่าคุณจะได้สัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นแบบที่ไม่เคยมาก่อนเลยทีเดียว
ตัวอย่างแพลนทริปชิราคาวาโกะ
ด้านล่างจะเป็นตัวอย่างทริปที่ผมได้แพลนได้แล้วคร่าวๆ ทั้งนี้คุณสามารถนำไปใช้ได้โดยอิสระ แต่ต้องตรวจสอบเรื่องการเดินทางอีกครั้ง เพราะผู้ให้บริการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ
สถานที่เที่ยวญี่ปุ่นอื่นๆ
- คามาคุระ – อดีตเมืองหลวงของประเทศในช่วงยุคคามาคุระ ตัวเมืองมีพระใหญ่ไดบุสึซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ
- นิกโก้ – เมืองสวยของญี่ปุ่นที่เป็นสถานที่แสวงบุญมาตั้งแต่อดีต ตัวเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามทั้งทางด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม
- ทาคายาม่า – ตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตัวเมืองมีย่านเมืองเก่าที่สวยงามน่าหลงใหล