หน้าแรกตะวันออกกลางจอร์แดน7 ไฮไลท์กิจกรรมและจุดสวยทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) ที่คุณห้ามพลาด

7 ไฮไลท์กิจกรรมและจุดสวยทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) ที่คุณห้ามพลาด

-

ต่อไปบทความของผมจะหาพบได้ยากขึ้นจาก search engine ถ้าเป็นไปได้โปรดเพิ่มเพื่อนทาง Line เพื่อเข้าถึงบทความหรือแพลนทริปฟรี ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกคุณในการเดินทางครั้งต่อไปครับ ขอบคุณครับ
เพิ่มเพื่อน

วาดิรัม (Wadi Rum) หรือหุบเขาแห่งพระจันทร์ (Valley of the Moon) เป็นหุบเขาทะเลทรายที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดน ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่บนโลก ทำให้วาดิรัมเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำภาพยนตร์ Hollywood โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนว Sci-fi อย่างเรื่องที่ผมชอบมากอย่าง The Martian ก็ถ่ายทำที่นี่ครับ

ดังนั้นถ้าคุณเดินทางมาเยือนประเทศจอร์แดนแล้ว ผมบอกเลยว่าคุณต้องไปที่นี่ให้ได้สักครั้ง เพราะสวยงามแปลกตาจริงๆ ครับ ผมมองว่าเป็นวิวทะเลทรายที่สวยอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้

ในบทความแห่งนี้ผมจะเล่าถึงความเป็นมาของสถานที่ วิธีการเดินทางไปวาดิรัม ก่อนที่จะกันถึงไฮไลท์ที่คุณไม่ควรพลาดเป็นลำดับต่อไปครับ

ความเป็นมาของวาดิรัม

เนื่องจากสภาพของทะเลทรายวาดิรัมเป็นหุบเขา คุณจะไม่ได้เห็นพื้นทรายสุดลูกหูลูกตาเหมือนกับทะเลทรายซาฮารา ในทางตรงกันข้าม คุณจะเห็นภูเขาหินมากมายในทะเลทรายแห่งนี้ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้วาดิรัมแตกต่างไปจากทะเลทรายอื่นๆ ครับ

พื้นที่บริเวณนี้มีมนุษย์อยู่อาศัยมานานแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เสียอีก ในช่วงยุคโบราณนั้น ชาวนาบาเทียน (ที่สร้างเมืองหลวงที่เพตรา) ได้เคยอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน เห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับพวกเขาที่นักโบราณคดีค้นพบในทะเลทรายแห่งนี้ครับ

ความสนใจของโลกตะวันตกในทะเลทรายแห่งนี้เกิดขึ้นเพราะ T.E. Lawrence นายทหารอังกฤษที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือชาวอาหรับในการลุกฮือต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในทะเลทรายวาดิรัมอยู่หลายครั้ง และได้เขียนเล่าเรื่องราวไว้ในหนังสือของเขา (Seven Pillars of Wisdom)

ดวงอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทรายวาดิรัม
by Georgios Tsichlis/ShutterStock

ต่อมาเรื่องราวของเขาได้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ในเรื่อง Lawrence of Arabia (1962) และได้รับรางวัลออสการ์ครับ ดังนั้นทะเลทรายวาดิรัมจึงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก นักท่องเที่ยวมากมายจึงเดินทางมายังจอร์แดน เพื่อมาชมสภาพภูมิประเทศที่แปลกตาแห่งนี้

ในช่วงศตวรรษที่ 21 ด้วยความที่ภูมิประเทศที่โดดเด่น และคล้ายกับบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ทำให้กองถ่ายหนัง Sci-Fi มากมายที่ยกกองมาถ่ายทำกันที่แห่งนี้

ยกตัวอย่างเช่น Transformers: Revenge of the Fallen, Prometheus, The Martian, Star Wars (2 ภาค: The Rise of Skywalker/Rogue One) และ Dune นอกจากนี้ภาพยนตร์ของดิสนีย์อย่าง Aladdin ก็ถ่ายที่นี่เช่นกัน

นอกจากนี้องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนทะเลทรายวาดิรัมแห่งจอร์แดนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2011 ทั้งในสาขา Unique Natural Beauty (ความสวยงามทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร) และ Cultural Significance (ความสำคัญทางด้านวัฒนธรรม) ครับ

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปทะเลทรายวาดิรัมทำอย่างไร?
  • เช่ารถขับ – วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุด (อ้างอิงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของการท่องเที่ยววาดิรัม) ทั้งนี้นอกจากค่าเช่ารถในจอร์แดนจะไม่แพงแล้ว วาดิรัมอยู่ไม่ไกลเพตรา (113 กิโลเมตร) คุณสามารถเที่ยวเพตราก่อนและขับรถมาเที่ยววาดิรัมต่อไปได้ แต่คุณจะไม่สามารถนำรถเข้ามาขับในทะเลทรายได้ คุณจะต้องจอดรถไว้ในที่จอดรถ และเปลี่ยนมาเป็นรถของอุทยานครับ
  • นั่งรถบัส – คุณสามารถนั่งรถบัสจากกรุงอัมมาน อคาบา หรือเพตรามายังวาดิรัมได้ ราคาก็ไม่แพงเกินไปด้วยครับ อย่างถ้าคุณนั่งมาจากกรุงอัมมานจะเสียแค่ 10 ดีนาร์ หรือประมาณ 500 บาทเท่านั้นเอง แต่ข้อเสียคือถ้าคุณนั่งจากอคาบาหรือเพตรา รถจะมีแค่คันเดียวต่อวันเท่านั้น ดังนั้นถ้าคลาดไปคือต้องนั่งแท็กซี่สถานเดียวครับ ผู้บริการรถบัสที่ดีที่สุดคือ Jett Bus ครับ
  • แท็กซี่ – ทางเลือกสุดท้ายของใครที่ไม่ได้เช่ารถเที่ยวในจอร์แดน ราคาจะแพงกว่าตัวเลือกอื่นอย่างมีนัยสำคัญครับ ราคาแท็กซี่จากกรุงอัมมานจะอยู่ที่ 110 ดีนาร์ (5500 บาท) ส่วนจากเพตราจะอยู่ที่ 40 ดีนาร์ (2000 บาท) โดยแท็กซี่หนึ่งคันจะนั่งได้ 4 คน สรุปต่อคนแล้วจะแพงกว่ารถบัสประมาณ 3 เท่าครับ
ไปเที่ยวทะเลทรายวาดิรัมช่วงไหนดี

ทะเลทรายวาดิรัมไปเที่ยวได้แทบจะทุกฤดูยกเว้นช่วงฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อย่างผมไปช่วงเดือนปีใหม่ อากาศในทะเลทรายเย็นสบายมาก (แต่ช่วงกลางคืนหนาวนะครับ ต้องเตรียมเสื้อหนาวไปพอสมควร)

ส่วนช่วงฤดูร้อนไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะจะร้อนสุดๆ เลยครับ แต่ช่วงอื่นอย่างมีนาคม-พฤษภาคม หรือกันยายน-พฤศจิกายนก็สามารถไปได้ครับ อากาศในสองช่วงนี้จะไม่ร้อนเกินไป (แต่ก็มีโอกาสเจอวันที่ร้อนมากกว่าฤดูหนาวครับ)

1. นั่งรถจี๊ปชมวิว

หลังจากที่คุณเดินทางมาถึงทะเลทรายวาดิรัมแล้ว สิ่งแรกที่คุณจะได้ทำคือนั่งรถจี๊ปหรือ 4WD ชมวิวครับ ซึ่งรถที่นั่งก็จะเป็นแบบเปิดประทุน (ให้อารมณ์นั่งหลังรถกระบะทั่วไป แต่มีที่นั่งที่ดีหน่อย) คนขับก็จะพาคุณและคณะไปตามจุดต่างๆ อย่างเช่น

Seven Pillars of Wisdom – ภูเขาที่มีรูปทรงเหมือนเสาหินที่ทับซ้อนกันอย่างแปลกประหลาด อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกสร้างโดยธรรมชาติ ลองนับดูครับว่าคุณจะนับได้ 7 เสาเหมือนกับ T.E. Lawrence ในหนังสือรึเปล่า (เขาเป็นคนตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ครับ) แต่ตอนที่ผมไป ผมนับยังไงก็ได้ 5-6 ต้นเท่านั้นเองครับ

Seven Pillars of Wisdom หนึ่งในไฮไลท์ของทะเลทรายวาดิรัม
by EyesTravelling/ShutterStock

Khazali Canyon – โตรกธารขนาดใหญ่ที่มองจากด้านนอกก็รู้สึกว่าใหญ่และอลังการอยู่แล้ว แต่ถ้าเดินลึกเข้าไป คุณจะพบว่ามีรูปเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ รวมไปถึงงานแกะสลักรูปมนุษย์และสัตว์ที่เป็นผลงานของชาวนาบาเทียนอยู่ด้วย นักประวัติศาสตร์บางส่วนมองว่าตัวโตรกอาจจะมีความสำคัญทางศาสนาครับ

Khazali Canyon
Khazali Canyon by Daniela Mihaylova/ShutterStock

Red Sand Dune – เนินทรายสีแดงอันสวยงามของทะเลทรายวาดิรัม สาเหตุที่ทรายเป็นสีแดงเพราะว่ามี Iron Oxide จำนวนมาก เนื้อทรายของบริเวณนี้ยังนุ่มมากจนสามารถเดินเท้าเปล่าได้ครับ

Burdah Rock Bridge/Um Frouth Rock Bridge – สะพานหินที่เชื่อมภูเขาหินสองลูกเอาไว้ด้วยกัน โดยตัวสะพานเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และสูงจากพื้นถึง 80 เมตรครับ จากด้านบนคุณสามารถชมวิวทะเลทรายโดยรอบได้อย่างสวยงามมาก

สะพานหินในทะเลทรายวาดิรัม
by Jjustas/ShutterStock

Lawrence Spring/Lawrence House – สองแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ T.E Lawrence พำนักอยู่ในทะเลทรายวาดิรัมครับ ซึ่งวิวภูเขาหินบริเวณรอบๆจัดว่าสวยงามมากเลยทีเดียว

2. นั่งบอลลูนชมวิว

สำหรับใครที่อยากชมวิวแบบ Bird’s eye view ตัวเลือกเดียวที่คุณมีอยู่คือการนั่งบอลลูนชมวิวครับ ซึ่งบรรยากาศจะสวยไปอีกระดับหนึ่งทีเดียว เพราะคุณจะเห็นวิวทะเลทรายแบบไม่มีอะไรกั้นครับ

นั่งบอลลูนชมวิวทะเลทรายวาดิรัม
by waatfr/ShutterStock

บอลลูนแทบทั้งหมดจะออกในช่วงเช้า เพื่อให้คุณได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากสันทรายครับ เวลาที่คุณจะได้ชมวิวส่วนมากจะอยู่ที่ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าเต็มอิ่มอย่างแน่นอนครับ

3. ชมพระอาทิตย์ตกดิน

ทะเลทรายวาดิรัมเป็นสถานที่อีกแห่งที่คุณสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสวยงามมาก โดยมากแล้วรถจี๊ปมักจะพาคุณไปชมที่ Um Sabatah ครับ

ดวงอาทิตย์ตกที่วาดิรัม
by Hamdan Yoshida/ShutterStock

หลังจากที่คุณขึ้นไปที่จุดชมวิวแล้ว คุณจะเห็นวิวมุมสูงของทะเลทรายโดยรอบ จังหวะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ท้องทะเลทรายสวยและน่าประทับใจอย่างมากครับ

4. ขี่อูฐ

อีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังทะเลทรายวาดิรัม นั่นคือคุณจะได้ขี่อูฐของชาวเบดูอิน เหมือนกับ T.E Lawrence ในอดีตครับ ซึ่งการขี่อูฐนี้จะมีทั้งขี่สั้นๆ และเป็นทัวร์ขี่อูฐแบบทั้งวัน คุณไม่จำเป็นต้องเคยขี่มาก่อนก็สามารถขี่ได้ครับ เพราะมีชาวเบดูอินคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

ทัวร์ขี่อูฐที่ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum)
ทัวร์ขี่อูฐ by iwciagr/ShutterStock

โดยส่วนตัวผมมองว่าแค่ขี่เอาบรรยากาศเพื่อถ่ายรูปสั้นๆ หรืออย่างมากก็เลือกทัวร์ระยะสั้นแบบ 2-3 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้วครับ และข้ามทัวร์ทั้งวันไป เพราะนั่งอูฐช้ากว่านั่งรถ ตัวอูฐก็มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แถมยังนั่งไม่ค่อยสบายอีกด้วย

สำหรับใครที่มาในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จะมีเทศกาลแข่งอูฐที่ทะเลทรายวาดิรัมครับ โดยมีอูฐเข้าร่วมกว่า 500 ตัว ซึ่งแน่นอนว่าคุณสามารถชมได้เช่นกัน

5. ดูดาวในช่วงกลางคืน

ด้วยความที่เป็นทะเลทราย พื้นที่บริเวณนี้จึงแทบไม่มีแสงรบกวนเลยในช่วงกลางคืน ทำให้เป็นจุดดีที่สุดในการชมท้องฟ้าในช่วงกลางคืนครับ ในวันที่ฟ้าใสและปราศจากเมฆ คุณสามารถเห็นทะเลดาว และทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจน

ชมดาวกลางทะเลทรายวาดิรัม
ชมดาวกลางทะเลทรายวาดิรัม by rayints/Shutterstock

สำหรับใครที่อยากดูดาวจริงๆ ผมแนะนำให้เลือกพักในแคมป์ต่างๆ ในทะเลทรายวาดิรัมครับ บางแห่งจะมีระเบียงส่วนตัวด้วย ดังนั้นคุณจะได้นอนดูดาวได้อย่างไม่มีใครรบกวน

6. ปีนเขาและเดินเทรคตามทะเลทราย

ใครที่รักการผจญภัยกิจกรรมทั้งสามนี้ย่อมตอบโจทย์คุณไม่น้อยครับ กิจกรรมที่สนใจอย่างแรกคือการปีนเขา ซึ่งนี่เป็นการปีนเขาจริงๆ ไม่ใช่เดินเทรค

นั่นคือคุณจะต้องติดเครื่องมือและอุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ และปีนเขาตามช่องหินขึ้นไปครับ ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่ากิจกรรมอื่นๆ น่าเบื่อ แล้วเห็นว่าภูเขาขรุขระ ชันๆ เหมือนดาวอังคารของวาดิรัมแล้วอยากปีน แน่นอนว่าคุณสามารถทำได้เช่นกัน (ผ่านไกด์) ครับ

ส่วนใครที่อยากเดินเทรคตามทะเลทราย คุณก็สามารถเลือกจองทัวร์ได้ ซึ่งไกด์จะนำทางคุณและเพื่อนร่วมทางไปในเส้นทางที่ปลอดภัยครับ ทั้งนี้การเดินเทรคในทะเลทรายไม่ควรไปเอง เพราะคุณจะหลงทางได้ครับ

by Photostravellers/ShutterStock

7. สัมผัสวัฒนธรรมและลิ้มรสอาหารเบดูอิน

ชาวเบดูอินเป็นชาวพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในทะเลทราบแถบนี้มานานนับพันปี ซึ่งในปัจจุบัน พวกเขาได้เปิดร้านค้าหลายแห่งมาต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหาร ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว คุณไม่ควรพลาดลองชิมรสชาติของอาหารเบดูอินดูครับ

บาร์บีคิวสไตล์เบดูอินที่วาดิรัม
บาร์บีคิวสไตล์เบดูอินที่วาดิรัม by Huey Min/ShutterStock

เท่าที่ผมจำได้ เมนูที่ผมกินจะเป็นแนวปิ้งย่างบาร์บีคิวสไตล์เบดูอิน (หรือ Zarb) ซึ่งจัดว่ากินไม่ยากเลย แถมบรรยากาศยังดีด้วยเพราะกินในกระโจมกลางทะเลทรายครับ

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

Most Popular

error: Content is protected !!