จังหวัดยามากาตะ (Yamagata Prefecture) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ภูมิภาคโทโฮคุหรือทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู โดยมีพรมแดนติดกับจังหวัดอากิตะ มิยางิ นีงาตะ และฟูกุชิมะ
ทั้งนี้ตัวจังหวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม แต่ว่ายังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มากนัก (อ้างอิงจากข้อมูลของ JNTO อยู่ในลำดับ 9 จากท้ายในปี ค.ศ.2019) ดังนั้นคุณจได้สัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ถ้าใครรักการเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว จังหวัดแห่งนี้ควรอยู่ใน top list ที่ควรไปสักครั้งครับ
ในบทความนี้ผมจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดยามากาตะที่น่าสนใจ แต่ก่อนอื่นไปดูความเป็นมาของจังหวัดนี้กันก่อนครับ
ความเป็นมาของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata)
เมืองหลวงและศูนย์กลางของจังหวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองยามากาตะ (Yamagata City) ซึ่งชื่อเหมือนกับตัวจังหวัดครับ
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนศตวรรษที่ 7 พื้นที่แถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเอโซะ (Ezo) หนึ่งในชาวพื้นเมืองญี่ปุ่นโบราณ แต่ต่อมาพวกเขาถูกโจมตีและขับไล่ไปโดยชาวยามาโตะ (Yamato) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน โดยกองทัพยามาโตะได้สร้างป้อมและเมืองขึ้นที่ซากาตะ (Sakata) เพื่อป้องกันและปกครองดินแดนที่เป็นพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชูครับ
ในช่วงยุคเฮอัน ตระกูลฟูจิวาระที่ทรงอำนาจได้ปกครองดินแดนที่เป็นจังหวัดยามากาตะในปัจจุบันจากเมืองฮิราอิซุมิในจังหวัดอิวาเตะ อย่างไรก็ดีหลังจากที่ตระกูลฟูจิวาระพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมือง สมาชิกตระกูลดังกล่าวหลายคนก็ได้หลบหนีเข้ามาใช้บริเวณภูเขาสูงแถบนี้เป็นสถานที่หลบภัยและต่อสู้กับรัฐบาลโชกุนแห่งคามาคุระไปอีกหลายทศวรรษ
ช่วงยุคเซ็นโกกุและช่วงสมัยเอโดะตอนต้น ดินแดนยามากาตะ (Yamagata Domain) อยู่ในการปกครองของตระกูลโมกามิ (Mogami) แต่ตระกูลนี้กลับมีการแย่งชิงตำแหน่งไดเมียวกัน ทำให้รัฐบาลโชกุนต้องเปลี่ยนผู้ปกครอง ท้ายที่สุดแล้วยามากาตะถือเป็นดินแดนที่มีการเปลี่ยนมือบ่อยที่สุดแห่งหนึ่งของยุคเอโดะ
รัฐบาลเมจิที่ได้เข้าปกครองประเทศหลังมีชัยเหนือรัฐบาลโชกุนได้เปลี่ยนการปกครองดินแดนแห่งนี้เสียใหม่ โดยได้สถาปนาพื้นที่ตรงนี้ขึ้นเป็นจังหวัดในปี ค.ศ.1871 และได้สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวยามากาตะทำอย่างไร
จุดเริ่มต้นของการเที่ยวยามากาตะแน่นอนว่าคุณควรจะเดินทางมาที่เมืองยามากาตะ (Yamagata City) เสียก่อน เพราะรถบัสหรือรถไฟที่ออกไปสถานที่อื่นๆ นั้นจะออกจากที่นี่ โดยคุณสามารถใช้วิธีต่อไปนี้เดินทางมาจากโตเกียวครับ
- JR Yamagata Shinkansen – วิธีนี้ถือว่ารวดเร็วที่สุด โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที
- Express Bus – มีรถบัสให้บริการจากโตเกียวไปยังยามากาตะ ซึ่งจะใช้เวลา 7 ชั่วโมง
- เช่ารถขับ – โตเกียวห่างจากยามากาตะประมาณ 385 กิโลเมตร ดังนั้นถือว่าขับมาได้ โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะขับรถเที่ยวอยู่แล้ว หรือว่าคุณอาจจะเช่ารถมาจากเซนได (64 กิโลเมตร) ก็ได้เช่นกันครับ
แต่สำหรับการเดินทางในจังหวัดนั้น ผมแนะนำอย่างยิ่งให้เช่ารถขับ (อาจจะนั่งชินคันเซนมาเมืองยามากาตะแล้วค่อยเช่าภายหลัง) เพราะว่าบางสถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีรถบัสรับส่งน้อยถึงน้อยมาก ทำให้รวมแล้วอาจจะเสียเวลาหลายชั่วโมงในการรอรถบัสครับ
นอกจากนี้ในช่วงค่ำถึงดึกหรือในเทศกาลสำคัญไม่มีรถบัสให้บริการเลยอีกด้วย ทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆ ที่จะชมวิวสวยๆ ในช่วงกลางคืน (อย่างเช่นที่กินซังออนเซ็นเป็นต้น)
อ้างอิงจาก Stay Yamagata (เว็บไซต์การท่องเที่ยวทางการของจังหวัดยามากาตะ)
ไปเที่ยวยามากาตะช่วงไหนดี?
ยามากาตะนั้นเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ช่วงฤดูหนาวนั้นจะสวยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชอบหิมะ สาเหตุก็คือจังหวัดนี้จะมีหิมะตกหนักมาก ทำให้เมืองและหมู่บ้านต่างๆ มีหิมะปกคลุมอย่างสวยงาม อย่างเช่นที่มีชื่อเสียงมากที่กินซังออนเซ็น นอกจากนี้ที่ซาโอะออนเซ็นยังมีปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดหิมะ (Zao Snow Monster) ให้ชมด้วยครับ
แต่ช่วงอื่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่สวย อย่างช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ป่าไม้ในเขตอุทยานในยามากาตะ (ประมาณ 15% ของพื้นที่ทั้งหมด) จะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงสีส้มทั้งหมด เกิดเป็นทัศนียภาพที่คุณไม่มีวันลืมอย่างแน่นอนครับ
1. ชมวัดยามาเดระ
วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) หรืออีกชื่อหนึ่งว่าวัดริสซะคุจิ (Risshaku-ji) เป็นวัดอายุกว่าหนึ่งพันปีที่ตั้งอยู่ในบริเวณภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองยามากาตะ ตัววัดเป็นวัดในนิกายเท็นไดที่สร้างขึ้นโดยนักบวชที่ส่งมาเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่แถบนี้ครับ
ไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่ศาลาหรือจุดชมวิวที่เรียกว่าโกไดโด (Godaido) ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาที่จะเห็นวิวของหุบเขาโดยรอบ รวมไปถึงอาณาบริเวณของตัววัดทั้งหมด ในอดีตนักบวชและผู้แสวงบุญใช้ที่นี่ในการนั่งสมาธิครับ
ในการเดินขึ้นไป คุณจะต้องขึ้นบันไดหินไปประมาณ 1,000 ขั้น (ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที แล้วแต่ความเร็วในการเดิน) แต่ตามเส้นทางนั้นมีอารามให้ชม ตลอดจนร้านค้าต่างๆ ที่นำสินค้ามาขาย ดังนั้นคุณสามารถแวะพักเหนื่อยได้ตลอดทางครับ
ระหว่างเส้นทางนั้น หนึ่งในจุดที่คุณควรจะแวะคือ Konpon Chudo Hall เพราะอารามแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้ cedar ที่เก่าที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นครับ ผู้แสวงบุญชาวญี่ปุ่นมักจะมาจุดธูปเซ่นสรวงเทพเจ้าก่อนที่จะเดินทางต่อขึ้นไปตามเส้นทางครับ
สำหรับใครที่เป็นสายมู ในเส้นทางจะมีจุดชื่อหินมิดะโฮระ (Midahora Rock) ซึ่งถ้าคุณสามารถมองหารูปสลักของพระพุทธเจ้าที่อยู่ในชั้นหิน ถ้าคุณเจอ คุณจะโชคดีครับ
ค่าเข้าชม: 300 เยน
2. กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)
กินซังออนเซ็นเป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่ผมมองว่าโรแมนติกที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว สองข้างทางของแม่น้ำจะมีอาคารสมัยยุคไทโชเรียงรายกันไปสองข้างทาง ซึ่งจะสวยพิเศษตอนกลางคืนช่วงฤดูหนาว เพราะหิมะจะโปรยปรายราวกับว่าคุณเป็นพระเอก/นางเอกซีรีส์เลยทีเดียวครับ เหมาะสำหรับการฮันนีมูน หรือการเดทกันเป็นที่หนึ่ง
นักท่องเที่ยวมักจะเปลี่ยนเป็นชุดกิโมโน และเดินไปตามเมืองเพื่อซึมซับบรรยากาศและถ่ายรูป หรือว่าแช่เท้าตามจุดที่มีให้แช่ฟรี แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือการแช่ออนเซ็นในโรงอาบน้ำซึ่งมีเปิดให้บริการหลายแห่งครับ
3. ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)
ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen) เป็นสถานที่ที่สุดยอด เพราะนอกจากมีออนเซ็นที่มีคุณภาพน้ำยอดเยี่ยมและสรรพคุณมากมาย และวิวสวยเทพแล้ว ที่นี่ยังมีจุดชมปรากฏการณ์สัตว์ประหลาดหิมะ (Zao Snow Monster) ซึ่งเกิดตามธรรมชาติอีกด้วย คุณจะเห็นต้นไม้นับหมื่นมีหิมะปกคลุมทั่วทั้งตนจนกลายเป็นเหมือนเยติที่ถูกแช่แข็งเลยครับ
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสกีรีสอร์ทอันดับต้นๆ ของประเทศให้คุณได้เล่นสกีและทำกิจกรรมฤดูหนาวอีกด้วย ดังนั้นเป็นออนเซ็นที่มีอะไรให้ทำเยอะมากจริงๆ เหมาะต่อการมาเยี่ยมเยือนครับ
4. คามิโนะยามะออนเซ็น (Kaminoyama Onsen)
คามิโนะยามะออนเซ็นเป็นอีกหนึ่งเมืองออนเซ็นใกล้กับแนวภูเขาซาโอะที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังให้สายน้ำที่มีแร่ธาตุมากมาย เอื้อต่อการแช่บำรุงสภาพเป็นอย่างมากครับ คุณสามารถไปแช่ได้ที่โรงอาบน้ำที่เปิดให้บริการหลายแห่งในหมู่บ้านครับ โรงอาบน้ำหลายแห่งที่นี่มีประวัติหลายร้อยปีและยังให้บรรยากาศของการแช่ออนเซ็นแบบเดิมของญี่ปุ่นครับ
บริเวณตรงกลางของเมืองจะมีปราสาทตั้งอยู่ ตัวปราสาทนี้เพิ่งสร้างใหม่ในปี ค.ศ.1980 เพื่อทดแทนของเดิมที่ถูกทำลายไปแล้วในช่วงยุคเมจิครับ นอกจากนี้ใกล้ๆ กับตัวปราสาทยังมีย่านซามูไรที่หลงเหลือมาตั้งแต่อดีตตั้งอยู่ แน่นอนว่าคุณสามารถเข้าไปสัมผัสบรรยากาศได้เช่นกัน
ส่วนสายกินนั้น สิ่งที่พลาดไม่ได้คือผลไม้สดๆ อย่างเช่นเชอร์รี่และลูกแพร์ ซึ่งเมืองออนเซ็นแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก คุณสามารถซื้อกลับไปได้ หรือว่าไปเก็บแล้วกินสดๆ เลยก็ได้ครับ
คามิโนะยามะออนเซ็นนั้นเดินทางไปง่ายกว่าออนเซ็นอื่นๆ เพราะคุณสามารถนั่ง JR Yamagata Shinkansen ไปถึงได้เลย โดยไม่ต้องนั่งรถบัสเหมือนกับซาโอะและกินซังออนเซ็นครับ
5. ล่องเรือที่แม่น้ำโมกามิ
แม่น้ำโมกามิ (Mogami River) เป็นหนึ่งในสามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวที่สุดในญี่ปุ่น และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับความงามของสองฝากฝั่งที่สวยงามในทุกฤดู (ช่วงฤดูหนาวก็สามารถล่องได้ครับ) แต่แน่นอนว่าจะสวยที่สุดในฤดูใบไม้ร่วง เพราะริมฝั่งแม่น้ำและโตรกผาจะกลายเป็นสีแดงเพลิงและสีส้มอันสดใสไปตลอดบริเวณนั่นเอง
วิธีการชมที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือล่องเรือตามกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวครับ ซึ่งค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 2,450 เยนสำหรับเที่ยวเดียว และ 3,340 เยนสำหรับไปกลับครับ
6. ชมขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งเดวะ
ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งเดวะหรือเดวะซานซัง (Dewa Sanzan) ประกอบด้วยภูเขาสามแห่งได้แก่ ภูเขาฮากุโระ (Mt. Hakuro) ภูเขากาสซัง (Mt. Gassan) และภูเขายุโดโนะ (Yudono) ชาวญี่ปุ่นมักจะเดินทางมาแสวงบุญที่ภูเขาทั้งสามตามลำดับนี้ครับ
ภูเขาแห่งแรกคือภูเขาฮากุโระ (Mt. Hakuro) ซึ่งเป็นตัวแทนของการเกิด ด้านบนภูเขานั้นจะมีศาลเจ้าตั้งอยู่ที่เหล่าผู้แสวงบุญมักจะเดินทางมาที่นี่ครับ
ในการเดินทางมาคุณสามารถนั่งรถบัสหรือขับรถขึ้นไปถึงตัวศาลเจ้าเลยแต่ถ้ามีพละกำลังเพียงพอ การเดินตามบันได 2,446 ขั้นน่าจะดีกว่า เพราะคุณจะได้ชมป่าสนซีดาร์อายุถึง 500 ปีเลยทีเดียว และจะสวยพิเศษตอนฤดูใบไม้ร่วงครับ
ถัดมาคือภูเขาที่สูงที่สุดหรือภูเขากาสซัง (Mt. Gassan) ตัวภูเขาเป็นตัวแทนแห่งความตายครับ บนภูเขาจะมีศาลเจ้าตั้งอยู่ แต่เข้าถึงได้เฉพาะการเดินเท้าเท่านั้น แต่ตลอดสองเส้นทางนั้นภูมิทัศน์สวยงดงามมาก เพราะมีดอกไม้ให้ชมตลอดทางไปพร้อมๆ กับแนวภูเขาอาซาฮีครับ ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทุกอย่างจะเปลี่ยนสีเป็นสีส้มสีแดง ซึ่งบอกได้เลยว่างามตาสุดๆ
สิ่งที่โดดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ ที่นี่มีสกีรีสอร์ทซึ่งคุณสามารถเล่นได้แม้แต่ในช่วงเดือนกรกฏาคม เพราะที่นี่นั้นหิมะมหาศาลจนละลายไม่หมด (ศาลเจ้าที่อยู่บนยอดเขาจึงเข้าถึงได้แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นครับ)
ช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น คุณสามารถชมกำแพงหิมะได้ที่ Gassan Shizu Line ซึ่งมีกำแพงหิมะสองข้างถนนสูงกว่า 10 เมตร แม้ว่าจะเล็กกว่าที่ทาเตยามะที่โทยามะ แต่ก็ให้ประสบการณ์ที่คล้ายกันครับ
ภูเขาสุดท้ายในสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือภูเขายุโดโนะ (Mt. Yudono) ซึ่งเป็นตัวแทนของการเกิดใหม่ ชาวญี่ปุ่นมักจะเดินเท้าลงมาจากภูเขากาสซังลงมาที่ภูเขายุโดโนะแห่งนี้เพื่อเป็นการปิดฉากการแสวงบุญ ด้านบนของภูเขาลูกนี้มีศาลเจ้าเช่นกันครับ
7. ชมโบราณสถานของตระกูลอุเอสึกิที่โยเนซาวะ
ตระกูลอุเอสึกิ (Uesugi Clan) เป็นหนึ่งในตระกูลไดเมียวสำคัญในยุคเซ็นโกกุ ซึ่งถ้าใครเคยอ่านอนิเมะหรือเล่นเกมสัญชาติญี่ปุ่นแนวประวัติศาสตร์น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง
ในสมัยเอโดะ ตระกูลอุเอสึกิได้ปกครองพื้นที่โยเนซาวะ (Yonezawa Domain) หรือว่าเมืองโยเนซาวะในปัจจุบันนั่นเอง ดังนั้นที่นี่จึงมีโบราณสถานหลายแห่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตระกูลนี้ครับ
สถานที่แห่งแรกคือสวนมัตสึกาซากิ (Matsugasaki Park) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทโยเนซาวะ ที่พำนักของไดเมียวผู้ปกครองเมือง ปัจจุบันนี้แม้ว่าตัวปราสาทจะไม่อยู่แล้ว (ถูกรื้อถอนหลังจากที่รัฐบาลโชกุนสิ้นสุดลง) แต่ในสวนยังมีอนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญในตระกูลอุเอสึกิตั้งอยู่ครับ และที่นี่ยังเป็นจุดชมซากุระชั้นยอดอีกด้วย
แต่จุดที่พลาดไม่ได้ในสวนก็คือศาลเจ้าอุเอสึกิ-จินจา (Uesugi Jinja) ที่อุทิศให้กับอุเอสึกิ เค็นชิน ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าถ้าเดินทางมาสักการะที่นี่จะได้รับโชคดี ความสำเร็จทางการศึกษาและการทำงานครับ สำหรับสายมูก็สามารถไปขอพรกันได้
ด้านในศาลเจ้ามีโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับตระกูลอุเอสึกิให้ชมมากมาย อย่างเช่นธงรบที่อุเอสึกิ เค็นชินเคยใช้ออกรบ (ปักอยู่ที่ริมสะพานไมซุรุ) และสิ่งของมากมายท้องพระคลัง (Keishoden) ครับ
ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ สวนมัตสึกาซากิจะมีจัดงานเทศกาลโคมไฟหิมะ (Uesugi Snow Lantern Festival) โดยสองข้างทางของสวนจะมีการจุดโคมไฟและตะเกียงนับพันดวงในช่วงกลางคืน โคมไฟเหล่านี้จะถูกปกคลุมโดยหิมะ ทำให้บรรยากาศสวยงามมาก และยังอบอุ่นโรแมนติกด้วยครับ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาช่วงในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม (29 เมษายนถึง 3 พฤษภาคมแต่อาจจะเปลี่ยนได้ในแต่ละปี) เมืองโยเนซาวะจะมีเทศกาลใหญ่ชื่อว่าเทศกาลโยเนซาวะ อุเอสึกิ (Yonezawa Uesugi Festival) ครับ
ช่วงเทศกาลนี้มีไฮไลท์อยู่ที่ชาวเมืองจะมาแต่งกายเป็นซามูไร และจำลองยุทธการแห่งคาวานะคาจิมะ (Battle of Kawanakajima) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งถ้าคุณจองล่วงหน้า คุณสามารถสวมชุดเกราะซามูไรและลงไปร่วมแสดงได้อีกด้วย ถ้าคุณชอบวัฒนธรรมซามูไร ผมมองว่าไม่มีกิจกรรมไหนที่จะให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ได้ดีกว่านี้แล้วครับ
ส่วนสายกิน ถ้าคุณมาเที่ยวที่นี่แล้ว การลิ้มลองเนื้อโยเนซาวะวากิว (Yonezawa Wagyu) เป็นสิ่งที่คุณห้ามพลาดครับ เนื้อของที่นี่คุณภาพสูงมากและติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะกินเป็นชาบูชาบู สเต็ก หรือยากินิคุก็อร่อยระดับตำนานครับ
8. ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง “แมงกะพรุน” เพราะที่นี่รวบรวมแมงกะพรุนไว้มากถึง 60 ชนิด รวมแล้วว่าหลายพันตัว ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คุณจะได้ชมเจ้าสิ่งมีชีวิตโปร่งแสงอย่างเต็มอิ่มเลยครับ บางชนิดหาแทบหาชมไม่ได้ในส่วนอื่นของโลกด้วยครับ
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีการแสดงแมงกะพรุนด้วยเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญจะสาธิตการจัดการแมงกะพรุนแบบมืออาชีพให้ได้ชมกัน และยังมีการแสดงสัตว์อื่นๆ เช่นสิงโตทะเลด้วยครับ
สำหรับใครที่อยากลองเมนูแมงกะพรุนทั้งหลาย ที่นี่ก็มีให้ลองชิมครับ บางเมนูแปลกมากอย่างเช่นราเมงแมงกะพรุนหรือแม้กระทั่งไอศกรีมที่ใส่ส่วนของแมงกะพรุนลงไปด้วย รับรองว่าหาทานที่อื่นไม่ได้แน่นอนครับ
9. ขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสี
สำหรับใครที่เช่ารถมาเที่ยวยามากาตะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้คือขับรถตามถนนชมใบไม้เปลี่ยนสีอันสุดสวย โดยเส้นที่น่าสนใจได้แก่
- Nishi-Azuma Sky Valley – ความยาว 18 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะเห็นภูเขาเบื้องล่างที่มีใบไม้เปลี่ยนสีอย่างสวยงาม แถมถ้ามองไกลๆ จะเห็นทะเลสาบไฮบาระด้วยครับ
- Zao Echo Line – ถนนที่ลากผ่านแนวภูเขาซาโอะจากทิศตะวันตกไปตะวันออก โดยเชื่อมจังหวัดมิยางิและจังหวัดยามากาตะในระยะทาง 26 กิโลเมตร เส้นนี้จะมีกำแพงหิมะแทนถ้ามาเที่ยวในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมครับ
- Chokai Blue Line – เส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสีที่วิวสีแดงเพลิงจะตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินของท้องทะเลญี่ปุ่นครับ
10. ชมซากุระที่สวนต่างๆ
เมืองยามากาตะมีจุดชมซากุระที่ไม่แพ้จังหวัดใดในประเทศญี่ปุ่น โดยจุดที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้
- สวนเอโบชิยามา (Eboshiyama Park) – สวนที่ติดอันดับวิวซากุระ 1 ใน 100 อันดับของญี่ปุ่น ตัวสวนอยู่ใกล้กับอกายุออนเซ็น (Akayu Onsen) และมีซากุระมากกว่าหนึ่งพันต้น ช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟทำให้ยิ่งสวยขึ้นไปอีกครับ
- สวนเท็นโด (Tendo Park) – สวนสวยๆในเมืองเท็นโด ที่มีต้นซากุระกว่า 2,000 ต้นและจะบานสะพรั่งพร้อมกันในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเทศกาลโชกิมนุษย์ (Human Shogi หรือโชกิที่ตัวหมากเป็นคนจริงๆ) ให้ได้ชมอีกด้วยครับ
- สวนฮิโยริยามะ (Hiyoriyama Park) – สวนในเมืองท่าเก่าแก่อย่าง ซากาตะ (Sakata) จากสวนแห่งนี้ คุณสามารถชมซากุระและพระอาทิตย์ตกดินสู่ท้องทะเลญี่ปุ่นไปได้พร้อมๆ กัน
11. เมืองยามากาตะ (Yamagata City)
หลังจากที่ไปเที่ยวที่อื่นกันอย่างมากมายแล้ว สถานที่เที่ยวน่าสนใจที่เหลืออยู่ก็จะอยู่ในเมืองยามากาตะแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น
- บุนโชคัน (Bunshokan) – ที่ทำการรัฐแห่งเมืองยามากาตะที่สร้างขึ้นในยุคไทโชตามศิลปะตะวันตก ด้านในได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามอลังการ ไม่แพ้พระราชวังเล็กๆ บางแห่งในยุโรปเลยครับ
- สวนคาโจ (Kajo Park) – อดีตที่ตั้งปราสาทยามากาตะที่สร้างโดยตระกูลโมกามิ ในปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังสร้างอาคารบางหลังของปราสาทกลับขึ้นมาใหม่ ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมในการชมซากุระของชาวเมืองครับ
12. ลองชิมอาหารพื้นเมือง
จังหวัดยามากาตะมีชื่อเสียงเรื่องอาหารหลากหลายเมนูด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
- โซบะ – เส้นโซบะของยามากาตะจะมีลักษณะเด่นที่ความเหนียว และต้องใช้ฟันเคี้ยวมากกว่าเส้นโซบะที่อื่น
- ราเมงเย็น – อีกหนึ่งของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ ทุกสิ่งในชามราเมงจะเสิร์ฟมาแบบเย็น บางร้านอาจจะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำแข็ง ดูเผินๆ อาจจะสงสัยว่ากินได้หรือ แต่พอลองเท่านั้นแหละครับ ราเมงชามนี้ช่วยให้คุณสดชื่นได้มากขึ้นเยอะเลยทีเดียว
- ทามะ-คอนเนียคุ (Tama-konnyaku) – เจ้าสิ่งนี้คือบุก (Konjac) ที่นำมาปั้นเป็นก้อนและเสียบไม้ หลังจากนั้นก็นำไปนึ่ง ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานเป็นของว่างครับ
- อิโมนิ (Imoni) – เมนูยอดนิยมแห่งจังหวัดยามากาตะ เจ้านี้เหมือนกับนาเบะหรือสตูชนิดหนึ่ง โดยเนื้อวัวจะถูกนำไปตุ๋นกับรากของเผือก เห็ด และวัตถุดิบตามฤดูกาลอื่นๆ อย่างไรก็ดีแต่ละเขตจะมีสูตรที่ต่างกันออกไป เช่นบางเขตจะปรุงรสด้วยมิโซะ ขณะที่เขตอื่นจะใช้โชยุเป็นต้น
- ซุปปลาดอนคาระ-จิรุ – ซุปปลาที่ทำมาจากทุกส่วนของปลาคอต (รวมไปถึงเครื่องใน) แล้วนำไปต้มจนนิ่ม และเสิร์ฟแบบร้อนๆ เมนูนี้ได้รับความนิยมสูงมากในช่วงฤดูหนาว เพราะช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้เป็นอย่างดีครับ
References:
- Stay Yamagata
- Tohoku Kanko
- Gassan Asahi Tourist Information