หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น16 สถานที่เที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama) และกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ

16 สถานที่เที่ยวโยโกฮาม่า (Yokohama) และกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

โยโกฮาม่า (Yokohama) คือเมืองหลวงของจังหวัดคานากาวะ และครองตำแหน่งเป็นเมืองขนาดใหญ่เป็นลำดับสองของประเทศญี่ปุ่น รองมาจากโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเพียงเมืองเดียวเท่านั้นครับ

ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจภายในเมืองแห่งนี้จึงมีมากมาย เราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง

Table of Contents

ความเป็นมาของโยโกฮาม่า

สิ่งหนึ่งที่โยโกฮาม่าต่างออกไปจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่นคือ ประวัติความเป็นมาของเมืองนี้นั้นสั้นมาก ตลอดหน้าสองพันปีของประวัติศาสตร์ดินแดนอาทิตย์อุทัย โยโกฮาม่าเป็นแค่หมู่บ้านริมทะเลเล็กๆ ที่มีชาวบ้านเพียงหยิบมือประกอบอาชีพประมงเท่านั้น ตรงกันข้ามกับเมืองในจังหวัดเดียวกันอย่างคามาคุระที่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศ และโอดาวาระที่เป็นเมืองปราสาท (Castle Town)

ความรุ่งเรืองของโยโกฮาม่าเริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ.1852 เพราะสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองเรือมาบีบให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติค้าขาย แม้ว่ารัฐบาลโชกุนโตกุกาวะจะไม่ยินดี แต่ก็ต้องยินยอม ดังนั้นจึงอนุมัติให้สร้างท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการค้าขายที่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างโยโกฮาม่า ซึ่งการสร้างนี้ใช้เวลาเกือบ 7 ปีถึงจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1859

หลังจากที่ท่าเรือเสร็จสิ้น การค้าขายระหว่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองอย่างโยโกฮาม่าจึงเจริญขึ้นอย่างพรวดพราด แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างพวกซามูไรและชาวต่างชาติอยู่บ้าง (เพราะชาวต่างชาติในญี่ปุ่นได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ extraterritoriality) แต่ไม่มีอะไรมาหยุดพัฒนาการของเมืองได้เลยครับ

ไชน่าทาวน์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวโยโกฮาม่าที่สำคัญ
by julianne.hide/ShutterStock

ชาวต่างชาติจำนวนมากโดยเฉพาะชาวจีนได้อพยพมาอาศัยที่นี่ จนกลายเป็นชุมชนชาวจีนขนาดยักษ์ในปัจจุบัน ส่วนชาวญี่ปุ่นที่มีอยู่ที่นี่ก็ต่างซึมซับในวัฒนธรรมต่างชาติอย่างช้าๆ โยโกฮาม่าจึงกลายเป็นอู่วัฒนธรรมแบบฟิวชั่นที่ผสมผสานกันระหว่างญี่ปุ่นและต่างชาติครับ

เมื่อรัฐบาลโชกุนล่มสลายไป รัฐบาลเมจิได้ปฏิรูปประเทศตามแบบตะวันตก ซึ่งญี่ปุ่นได้รับเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า ทางรถไฟ ฯลฯ ในช่วงนั้นจึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าโยโกฮาม่าคือเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ผู้คนมากมายทั้งในและต่างประเทศต่างเห็นโอกาสในการทำธุรกิจจึงเดินทางมาอยู่ที่นี่เพิ่มขึ้นอีก ทำให้ประชากรของเมืองเพิ่มอย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 โยโกฮาม่าต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเมืองเสียหายยับเยินถึงสองครั้งสองครา เหตุการณ์แรกก็คือแผ่นดินไหวใหญ่ในเขตคันโตในปี ค.ศ.1923 ที่ทำให้ชาวเมืองเสียชีวิตถึง 30,000 คน และสงครามโลกครั้งที่สองที่กองทัพอากาศอเมริกันได้ใช้ระเบิดเพลิงกับเมืองครับ

ถึงกระนั้นโยโกฮาม่าได้ฟื้นฟูขึ้นมาหลังสงครามอย่างแข็งแกร่ง โยโกฮาม่าได้กลับมาเป็นเมืองท่าตามเดิม และได้รับเรือมากมายจากทั่วโลก ที่นี่จึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่งอย่างเช่นบริษัทรถอย่างนิสสัน และค่ายเกมที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Koei Tecmo (Dynasty Warriors/Nioh)

เมืองโยโกฮามาในปัจจุบัน
by Sean Pavone/ShutterStock

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปเที่ยวโยโกฮาม่า

โยโกฮาม่าสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากจากโตเกียว ด้วยการนั่งรถไฟครับ ปัจจุบันมีรถไฟหลายขบวนที่คุณสามารถนั่งจากโตเกียวไปยังโยโกฮาม่าได้อาทิเช่น

  • JR Tokaido Line
  • JR Tokaido Shinkansen
  • JR Shonen Shinjuku Line
  • Tokyu Toyoko Line (จากชิบูย่า)

ส่วนใครที่เช่ารถจากสนามบินนาริตะมาแล้ว คุณสามารถขับไปเมืองโยโกฮาม่าได้เช่นกัน ระยะทางจะอยู่ที่ 100 กิโลเมตรครับ

ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Yokohama Official Visitors’ Guide โดยคุณสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ครับ

ไปเที่ยวโยโกฮาม่าช่วงไหนดี?

ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ คุณสามารถไปเที่ยวโยโกฮาม่าได้ในทุกฤดูครับ แต่ถ้าจะเอาให้ไม่หนาวหรือว่าร้อนจนเกินไป ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะเหมาะสมที่สุดครับ

ที่พัก

สำหรับใครที่ยังไม่ได้หาที่พักในเมือง ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักน่าจองในโยโกฮาม่าของผมเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ

1. ท่องไชน่าทาวน์

ไชน่าทาวน์หรือชุมชนชาวจีนที่โยโกฮาม่านั้นใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของญี่ปุ่น และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย บรรยากาศของไชน่าทาวน์ที่นี่นั้นจะเหมือนกับที่อื่นๆ เพราะว่ามีร้านอาหารและร้านขายสินค้ามากมายกว่า 600 ร้านครับ

จุดเด่นของที่นี่คือแม้ว่าจะเป็นไชน่าทาวน์แต่ก็ผสมผสานไปด้วยความเป็นญี่ปุ่นอยู่ด้วย อย่างเช่นร้านค้าต่างๆ ที่แม้ว่าจะอัดแน่นแต่ก็มีความเป็นระเบียบ หรือว่า อาหารจีนของบางร้านจะมีกลิ่นอายของอาหารญี่ปุ่นอยู่กลายๆ ครับ

ไชน่าทาวน์แห่งเมืองโยโกฮาม่า
by yu_photo/ShutterStock

ศูนย์กลางของย่านนี้แน่นอนว่าคือวัดจีนที่ชื่อคันเทเบียว (Kanteibyo) หรือกวนตี้เมี่ยว ด้านในวัดได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามและอลังการไม่น้อย และประดิษฐานรูปปั้นของเหล่าเทพเจ้าจีนอย่างเช่นยี่ว์ตี้ กวนอู รวมไปถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวจีนครับ ในช่วงตรุษจีน ชาวจีนก็จะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างใหญ่โต ที่นี่เหมือนกับที่ไชน่าทาวน์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน

2. เดินเล่นที่สวนยามาชิตะ

สวนยามาชิตะ (Yamashita Park) หรือยามาชิตะโคเอ็นเป็นสวนสาธารณะริมทะเลแห่งแรกของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณท่าเรือโยโกฮาม่า ดังนั้นมีบริเวณที่ติดทะเลอยู่ถึง 700 เมตรด้วยกันครับ บริเวณพื้นของสวนนั้นถูกปูด้วยซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ที่พังทลายในแผ่นดินไหวเขตคันโตในปี ค.ศ.1923 ครับ

by 7maru/ShutterStock

นอกจากวิวริมทะเลแล้ว ภายในสวนสาธารณะยังมีสนามหญ้า สวนกุหลาบ และรูปปั้นสวยๆ ที่ทางเมืองได้รับจากเมือง San Diego ที่เป็นเมืองพี่น้องกันครับ

3. ชมเรือเดินสมุทรฮิกาวะ มารุ และหอคอย Yokohama Marine Tower

ระหว่างที่คุณเดินเล่นที่สวนยามาชิตะนั้น คุณจะเห็นเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เรือลำนี้ชื่อว่าฮิกาวะ มารุ (Hikawa Maru) เป็นเรือเดินสมุทรสุดหรูอายุกว่า 100 ปีที่ครั้งหนึ่งเคยนำผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากโยโกฮาม่าไปยังซีแอตเทิลและแวนคูเวอร์ครับ

เรือฮิกาวะ มารุ
by Shawn.ccf/ShutterStock

ในช่วงสงคราม เรือได้ถูกใช้เป็นสถานที่ปฐมพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ ก่อนที่จะกลับมาเดินเรือในเส้นทางเดิมในช่วงทศวรรษ 1950s และถูกปลดระวางถาวรในอีกสิบปีต่อมา

ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปลี่ยนเรือลำนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ โดยด้านในยังมีการตบแต่งแบบในยุค 1930 อยู่ เหมาะกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสบรรยากาศครับ

ใกล้กับเรือเดินสมุทรจะมีหอคอยชื่อ Yokohama Marine Tower ตั้งอยู่ ตัวหอคอยสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอายุ 100 ปีของเมืองท่าโยโกฮาม่า และในปัจจุบันเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงสวยๆ ของท่าเรือโยโกฮาม่าได้ครับ รวมไปถึงวิวพระอาทิตย์ตกลับภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย

Yokohama Marine Tower
by 7maru/ShutterStock

4. ชมวิวที่ท่าเทียบเรือโอซันบาชิ

ท่าเทียบเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Pier) เป็นท่าเรืออายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งใช้รองรับเรือเดินสมุทรจากต่างประเทศที่เข้ามาเทียบท่าในเมืองโยโกฮาม่าครับ ปัจจุบันก็ยังเปิดใช้งานอยู่ ด้านในมีร้านอาหารและร้านค้าตั้งอยู่มากมายครับ

วิวเมื่องโยโกฮาม่าจากท่าเรือโอซันบาชิ
วิวเมื่องโยโกฮาม่าจากท่าเทียบเรือโอซันบาชิ by Ghing/ShutterStock

อย่างไรก็ดีสาเหตุที่นักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่ก็เพราะในบริเวณท่าเรือจะมีสวนสาธารณะตั้งอยู่ ซึ่งบริเวณสนามหญ้านั้นจะติดทะเล และเห็นวิว skyline ของย่านมินาโตะ มิไร 21 (Minato Mirai 21) แบบชัดเจน ที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ที่นิยมมาถ่ายรูปกันครับ

5. ชมวิวมุมสูงและช้อปปิ้งที่ Landmark Tower

Landmark Tower เป็นตึกสูง 296 เมตร ซึ่งในอดีตเคยครองตำแหน่งตึกสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ทศวรรษ ตัวตึกตั้งอยู่ริมทะเลและมีรูปร่างที่โดดเด่น ดังนั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของย่านมินาโตะ มิไร 21 ครับ

แน่นอนว่าคุณสามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองได้ที่ Sky Garden Observatory ด้านบนมีบาร์ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปหาอะไรจิบพร้อมกับความสวยงามของบริเวณท่าเรือในช่วงกลางคืนครับ

Landmark Tower ตึกที่สูงที่สุดในเมืองโยโกฮาม่า
by PhotoNetwork/ShutterStock

หลังจากชมวิวแล้ว คุณสามารถไปช้อปปิ้งได้เช่นกัน เพราะชั้น 2-5 ของตัวตึกเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีแบรนด์ต่างๆ มากมาย และถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานอย่างเทศกาลและการแสดงในช่วงคริสต์มาสครับ รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของต้นคริสต์มาสคริสตัล (Crystal Christmas Tree) ที่สูงถึง 8 เมตรอีกด้วย

6. สวนสนุก Cosmo World

สวนสนุก Cosmo World เป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ริมทะเล ซึ่งเป็นนาฬิกาบอกเวลาแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ด้วยครับ ด้วยความที่ตั้งอยู่ที่ริมทะเล และอยู่บริเวณย่านตึกสูง ทำให้ชิงช้าสวรรค์นี้กลายเป็นอีกสัญลักษณ์ของเมืองโยโกฮาม่าไปแล้ว

by PJPhotography/ShutterStock

ด้านในมีเครื่องเล่นอยู่หลายชนิด ตั้งแต่ม้าหมุนไปจนถึงรถไฟเหาะ แต่ว่าขนาดโดยรวมของสวนสนุกไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาขึ้นชิงช้าสวรรค์เพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองครับ ซึ่งรอบนึงจะใช้เวลา 15 นาที ส่วนค่าขึ้นจะอยู่ที่ 700 เยนครับ (ชิงช้าสวรรค์อย่างเดียว ไม่รวมเครื่องอื่น)

7. เดินเล่นที่ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Aka Rengo Soko)

เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Aka-Renga Soko) ถูกครอบครองโดยหน่วยงานศุลกากรที่ใช้ตรวจสอบสินค้าต่างๆ ที่เรือเดินสมุทรนำมา อาคารที่ถูกสร้างเพื่อการนั้นเป็นอาคารอิฐสีแดง หรือที่เรียกกันว่า Yokohama Red Brick Warehouse ครับ

Yokohama Red Brick Warehouse
by Hamdan Yoshida/ShutterStock

แต่ทุกวันนี้หน่วยงานรัฐไม่ได้ใช้อาคารเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่นัดพบของคู่เดตและคู่รักชาวญี่ปุ่นแทน เพราะว่ามีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์อยู่มากมาย รวมไปถึงเป็นสถานที่จัดเทศกาลสำคัญๆ ของเมือง อย่างเช่นคอนเสิร์ตหรือว่าเทศกาลเบียร์เป็นต้น และในช่วงกลางคืนก็จะมีการเปิดไฟให้กับตัวตึก ซึ่งจะสวยงามและดูโรแมนติกไปอีกแบบหนึ่งด้วยครับ

8. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่หลายคนสนใจมากที่สุดคือพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ Cup Noodles Museum Yokohama (Andō Momofuku Hatsumei Kinenkan)

ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นของบริษัทนิชชิน บริษัทบะหมี่สำเร็จรูปชั้นนำของญี่ปุ่น โดยจะเล่าประวัติและพัฒนาการของอาหารชนิดนี้ย้อนไปถึง ปี ค.ศ.1958 ที่เมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นครับ การเล่าเรื่องของที่นี่ถือว่าล้ำสมัยเพราะมีการใช้ CG และภาพยนตร์มาประกอบด้วย

อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลายคนชอบมากที่สุดคือ Factory Workshop กล่าวคือคุณสามารถพัฒนาสูตรของคุณเองจากส่วนผสมและเครื่องปรุงมากมาย และสามารถนำกลับบ้านไปด้วยครับ กิจกรรมนี้จะมีค่าเข้าร่วมที่ 500 เยนครับ แต่ถ้าจองล่วงหน้า เพราะว่าได้รับความนิยมสูงมาก

ท้ายที่สุดที่นี่ยังมีโซนอาหารหรือ Noodle Bazaar ที่นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มรสเมนูเส้นจากทั่วทุกมุมโลกได้ด้วยครับ

9. ช้อปปิ้งที่ย่านมินาโตะ มิไร 21

ย่านมินาโตะ มิไร 21 (Minato Mirai 21) เป็นย่านริมทะเลของเมืองโยโกฮาม่า โดยเป็นศูนย์กลางของการค้า และการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นที่นี่จึงมีตึกสูงมากมาย เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ ครับ

ย่านมินาโตะ มิไร 21
by voyata/ShutterStock

แหล่งช้อปปิ้งที่น่าสนใจได้แก่

  • Landmark Plaza – อธิบายไปแล้วด้านบน
  • Queen’s Square – ตั้งอยู่ตึกเดียวกับสถานีรถไฟ Minato Mirai ดังนั้นเดินทางไปง่ายสุดๆ และมีร้านค้ามากมาย
  • Marine & Walk Yokohama – แหล่งช้อปปิ้งแบบ outdoor ที่สามารถรับลมทะเลไปได้ ด้านในมีร้านค้า (แบบ boutique) และร้านอาหารตั้งอยู่จำนวนมากครับ
  • World Porters – มีขายทุกอย่างตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์กีฬา และอิเล็กทรอนิกส์
  • Noge Shopping Avenue – ถนนคนเดินที่มีร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอิซากายะ และในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะมีการแสดงพื้นบ้านให้ชมอีกด้วย

นอกจากนี้ถ้าคุณมีเวลาเหลือ คุณสามารถไปแหล่งช้อปปิ้งในโยโกฮาม่าที่เพิ่งเปิดใหม่อย่าง Yokohama Hammerhead, Kitanaka Brick & White ฯลฯ เพิ่มเติมได้ครับ

10. ชิมราเมงขั้นเทพที่พิพิธภัณฑ์ราเมง

พิพิธภัณฑ์ราเมงหรือ Shin-Yokohama Ramen Museum เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในโยโกฮาม่าที่คนรักราเมงห้ามพลาด นอกจากที่นี่จะเล่าประวัติความเป็นมาของราเมง และวิธีการทำอย่างละเอียดแล้ว คุณยังจะได้ทราบถึงรูปแบบราเมงสไตล์ต่างๆ อันเลื่องชื่อของญี่ปุ่นด้วย

ราเมง
by sasazawa/ShutterStock

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คุณสามารถลิ้มรสราเมงรสเด็ดของร้านดังจากภูมิภาคต่างๆ ได้ที่นี่ อย่างเช่น

  • Ryu Shanghai Honten – ราเมงแบบมิโซะที่เน้นเครื่องน้ำซุปจากท้องทะเล
  • Rishiri Ramen Mirakui – โชยุราเมงของเกาะริชิริที่หากินยากสุดๆ เพราะนอกจากจะไปยากแล้ว ร้านยังเปิดวันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง
  • Komurasaki – ทงคตสึราเมงที่ใช้เบสเป็นกระดูกหมู และรวมกับการผสมผสานระหว่างซอสที่ทำจากกระดูกไก่ และซุปผัก
  • Ryukyu Shinmen Tendou – ราเมงน้ำใสจากโอกินาวาที่รสชาติกลมกล่อม
  • Hacchan Ramen – อีกหนึ่งเทพแห่งทงคตสึราเมงแห่งฟุกุโอกะที่ตัวร้านไม่มีสาขาและเปิดในช่วงดึกเท่านั้น ทำให้แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็ยังหาโอกาสไปลองชิมได้ยากสุดๆ จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปที่เข้มข้นเหนือกว่าราเมงทั่วไปครับ

สำหรับใครที่ทานไม่เยอะ คุณจะเลือกเป็นแบบไซส์เล็กพิเศษก็ได้นะครับ คุณจะได้ลองชิมให้ครบทุกแบบ

ทั้งนี้ร้านต่างๆในโซนนี้จะตบแต่งในสไตล์ของช่วงปี 1950s ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านเหล่านี้เปิดทำการเป็นครั้งแรก และช่วยให้คุณได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบดั้งเดิมครับ

นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านค้าอื่นๆ รวมไปถึงคาเฟ่อีกด้วย หรือว่าถ้าคุณอยากลองเรียนทำราเมงก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่กิจกรรมนี้ต้องจองล่วงหน้าและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ

11. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

โยโกฮาม่าเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์มากกว่า 40 แห่งครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์สินค้าต่างๆ นอกเหนือจากที่ผมแนะนำไปแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่ผมมองว่าน่าสนใจได้แก่

  • Mitsubishi Minatomirai Industrial Museum – พิพิธภัณฑ์ยานพาหนะและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยมีให้ชมตั้งแต่ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ หรือแม้กระทั่งอวกาศ
  • Yokohama Museum of Art – พิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมืองที่รวบรวมผลงานของจิตรกรทั่วโลก โดยจะเน้นไปที่ศิลปะช่วงสมัยปลายศตวรรษที่ 19 ครับ
  • Silk Museum – พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมที่เล่าความเป็นมาของการทำผ้าไหม และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
  • Shiseido Global Innovation Center – พิพิธภัณฑ์เครื่องสำอางและประทินผิวของแบรนด์ Shiseido โดยจะเล่าถึงการผลิตเครื่องสำอางที่ดำเนินมาโดยทางบริษัทกว่า 100 ปี รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ที่นี่ยังมี beauty lab ที่คุณยังสามารถลองผลิตโลชั่นที่เหมาะกับผิวของคุณได้อีกด้วย
  • Kirin Beer Factory – พิพิธภัณฑ์ที่อธิบายการผลิตเบียร์ในสถานที่จริง ซึ่งคุณจะได้ทั้งเดินชมกระบวนการต่างๆ อย่างเจนจบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำครับ
  • Hakkeijima Sea Paradise – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์ทะเลมากมายให้ชม และมีการแสดงโชว์อีกด้วย

12. สัมผัสกลิ่นอายเก่าๆ ที่ย่านยามาเตะ

ย่านยามาเตะ (Yamate) เป็นย่านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชาวตะวันตกที่มาค้าขายและทำธุรกิจที่เมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ และได้ปลูกสร้างบ้านขึ้นจนกลายเป็นชุมชนขึ้น แต่ในปัจจุบันนั้นบ้านเหล่านั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เพราะแผ่นดินไหวเขตคันโตได้ทำลายบ้านเหล่านั้นไปเกือบทั้งหมดในปี ค.ศ.1923 ครับ

บ้านเก่าทรงยุโรปที่ย่านยามาเตะ
บ้านเก่าทรงยุโรปที่ย่านยามาเตะ by Sean Pavone/ShutterStock

อย่างไรก็ดียังมีบ้านทรงตะวันตกที่สวยงามอยู่หลายหลัง อย่างเช่นที่ Harbor View Park ซึ่งคุณสามารถเข้าไปชมและสัมผัสกลิ่นอายแบบดั้งเดิมอยู่ที่ได้บ้างครับ ทั้งนี้บ้านเหล่านี้สร้างในช่วงปี ค.ศ.1924-1937 ครับ

ใกล้กับย่านยามาเตะคือถนนคนเดินโมโตมาจิ (Motomachi Shopping Street) ซึ่งในอดีตเป็นถนนที่ชาวตะวันตกนำสินค้าต่างๆ มาวางขายในญี่ปุ่น ตัวถนนนั้นสร้างขึ้นในรูปตะวันตก ดังนั้นจะมีกลิ่นอายเหมือนกับว่าอยู่ในยุโรปครับ

13. เดินเล่นที่ถนนคนเดินอื่นๆ

นอกเหนือจากย่านที่ผมได้แนะนำไปแล้ว โยโกฮาม่ายังมีถนนคนเดินอื่นๆ ที่น่าสนใจด้วยกัน อาทิเช่น

  • ถนนโยโกฮามาบาจิ (Yokohamabachi) – ถนนคนเดินเก่าแก่ซึ่งมีกลิ่นอายของยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารและของว่างต่างๆ ปัจจุบันยังคงมีร้านค้ากว่า 135 ร้านตลอดระยะทาง 350 เมตรให้เดินเลือกซื้อของกันครับ
  • Isezaki Mall – ถนนคนเดินที่มีสินค้ามาวางขายมากมาย โดยแต่ละโซนจะแยกประเภทสินค้าที่วางขายอย่างชัดเจน ทำให้เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจถ้าคุณอยากได้ของฝากจากเมืองนี้ครับ

14. ชมสวนแบบญี่ปุ่นและซากุระที่สวนซันเคเอ็น

สวนซันเคเอ็น (Sankei-en) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่กว่า 175,000 ตารางเมตร ที่ด้านในมีอาคารและบ้านพักแบบญี่ปุ่น รวมไปถึงสระน้ำ สะพาน และต้นไม้มากมาย ทำให้บรรยากาศที่นี่งดงามไม่แพ้สวนอื่นๆ เลยครับ

ในอดีตที่นี่เคยเป็นบ้านพักและพื้นที่ส่วนตัวของเศรษฐีผ้าไหมแห่งโยโกฮาม่านามว่าโทมิทาโระ ฮาระ (Tomitaro Hara) ก่อนที่จะเขาเปิดสวนด้านนอกให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ และหลังจากที่เขาเสียชีวิต สวนแห่งนี้ก็ได้ถูกบริจาคให้กับตัวเมืองโยโกฮาม่าครับ

ซันเคเอน หนึ่งในไฮไลท์ที่เที่ยวโยโกฮาม่า
by lugiaz/ShutterStock

ไฮไลท์ของที่นี่คือ อาคารต่างๆ ที่ถูกโยกย้ายมาจากสถานที่อื่นอย่างเช่นเกียวโตหรือคามาคุระ อย่างเช่นเจดีย์จากเกียวโตหรือว่าที่พำนักเก่าของตระกูลโตกุกาวะ โดยแทบทั้งหมดนั้นโทมิทาโระ ฮาระได้ใช้ความมั่งคั่งของตนเองซื้อมา และสั่งให้นำมาสร้างใหม่ที่สวนแห่งนี้ครับ

สวนซันเคเอ็น
by kitsune05/ShutterStock

นอกจากตัวอาคารแล้ว จุดเด่นหนึ่งของสวนนี้คือมีดอกไม้ให้ชมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นซากุระ ไอริสญี่ปุ่น กุหลาบ ไปจนถึง hydrangea และ azalea ซึ่งคุณเดินทางมาชมได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของทุกปีครับ (แต่แน่นอนว่าจะบานไม่พร้อมกัน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลาได้จากเว็บนี้ครับ)

15. นั่งกระเช้าชมเมือง

ในเมืองโยโกฮาม่านั้น คุณสามารถนั่งกระเช้าชมเมืองได้ โดยกระเช้านี้เรียกว่า Yokohama Air Cabin ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 600 เมตรระหว่างสถานี Sakuragicho Station กับศูนย์การค้า World Porters ครับ

Yokohama Air Cabin
by dokosola/ShutterStock

ค่าขึ้นจะอยู่ที่คนละ 1,000 เยน โดยผมมองว่าแพงพอสมควร แต่วิว skyline ผ่านกระเช้านั้นถือว่าสวยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางคืนครับ

16. ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง

โยโกฮาม่าเป็นเมืองที่มีการพบกันของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและต่างชาติ ดังนั้นอาหารที่นี่จึงหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารฟิวชั่นครับ เมนูที่คุณไม่ควรพลาดได้แก่

by sasazawa/ShutterStock
  • สปาเกตตี้นาโปลิตัน (Napolitan) – เมนูที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าถือกำเนิดในอิตาลี แต่จริงๆ แล้วมาจากเมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ครับ โดยเป็นผลงานของชิเกะทาดะ ไอริเอะ หัวหน้าเชฟของโรงแรม New Grand ที่เห็นทหารอเมริกันใส่ซอสมะเขือเทศลงไปในเส้นพาสต้า เขาจึงคิดสูตรใหม่ขึ้นมาโดยใส่กระเทียมและหัวหอมลงไปครับ
  • อิเอเคราเมง (Iekei Ramen) – ราเมงสูตรลับเฉพาะของโยโกฮาม่า น้ำซุปจะเป็นแบบทงคตสึผสมกับโชยุ ทำให้เข้มข้นมาก ถ้าจะลองต้องไปลองที่ร้าน Yoshimura-ya ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเมนูนี้ครับ
  • กิวนาเบะ (Gyu-nabe) – เมนูเลิศรสที่เปรียบได้กับเป็น hotpot ของญี่ปุ่น โดยร้านกิวนาเบะบางร้านเปิดมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เลยครับ
  • Bashamichi Ice – เมนูไอศกรีมแบบดั้งเดิมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เปิดอุตสาหกรรมไอศกรีมของญี่ปุ่น สูตรนี้ยังหารับประทานได้ที่ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Red Brick Warehouse) ครับ

อ้างอิง (References)

  • Yokohama Official Visitors Guide
  • Japan Travel (JNTO)
  • Yokohama Kanbeibyo (Kuan Ti Miao) Official Site
  • The Landmark Tower
  • Yokohama Red Brick Warehouse (Official Site)
  • Cup Noodles Museum (Official Site)
  • Raumen.jp (เว็บของพิพิธภัณฑ์ราเมง)
  • Sankei-en Garden – Blossoming Calendar
  • Air Cabin – official site
Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

แนะนำสำหรับช่วงฤดูร้อน

โรงแรมน่าจองในโตเกียว

บทความล่าสุด

error: Content is protected !!