โยโกฮาม่า (Yokohama) คือเมืองหลวงของจังหวัดคานากาวะ และครองตำแหน่งเป็นเมืองขนาดใหญ่เป็นลำดับสองของประเทศญี่ปุ่น รองมาจากโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเพียงเมืองเดียวเท่านั้นครับ
ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจภายในเมืองแห่งนี้จึงมีมากมาย เราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง
ความเป็นมาของโยโกฮาม่า
สิ่งหนึ่งที่โยโกฮาม่าต่างออกไปจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่นคือ ประวัติความเป็นมาของเมืองนี้นั้นสั้นมาก ตลอดหน้าสองพันปีของประวัติศาสตร์ดินแดนอาทิตย์อุทัย โยโกฮาม่าเป็นแค่หมู่บ้านริมทะเลเล็กๆ ที่มีชาวบ้านเพียงหยิบมือประกอบอาชีพประมงเท่านั้น ตรงกันข้ามกับเมืองในจังหวัดเดียวกันอย่างคามาคุระที่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศ และโอดาวาระที่เป็นเมืองปราสาท (Castle Town)
ความรุ่งเรืองของโยโกฮาม่าเริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ.1852 เพราะสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองเรือมาบีบให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติค้าขาย แม้ว่ารัฐบาลโชกุนโตกุกาวะจะไม่ยินดี แต่ก็ต้องยินยอม ดังนั้นจึงอนุมัติให้สร้างท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการค้าขายที่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างโยโกฮาม่า ซึ่งการสร้างนี้ใช้เวลาเกือบ 7 ปีถึงจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1859
หลังจากที่ท่าเรือเสร็จสิ้น การค้าขายระหว่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองอย่างโยโกฮาม่าจึงเจริญขึ้นอย่างพรวดพราด แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างพวกซามูไรและชาวต่างชาติอยู่บ้าง (เพราะชาวต่างชาติในญี่ปุ่นได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ extraterritoriality) แต่ไม่มีอะไรมาหยุดพัฒนาการของเมืองได้เลยครับ
ชาวต่างชาติจำนวนมากโดยเฉพาะชาวจีนได้อพยพมาอาศัยที่นี่ จนกลายเป็นชุมชนชาวจีนขนาดยักษ์ในปัจจุบัน ส่วนชาวญี่ปุ่นที่มีอยู่ที่นี่ก็ต่างซึมซับในวัฒนธรรมต่างชาติอย่างช้าๆ โยโกฮาม่าจึงกลายเป็นอู่วัฒนธรรมแบบฟิวชั่นที่ผสมผสานกันระหว่างญี่ปุ่นและต่างชาติครับ
เมื่อรัฐบาลโชกุนล่มสลายไป รัฐบาลเมจิได้ปฏิรูปประเทศตามแบบตะวันตก ซึ่งญี่ปุ่นได้รับเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า ทางรถไฟ ฯลฯ ในช่วงนั้นจึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าโยโกฮาม่าคือเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ผู้คนมากมายทั้งในและต่างประเทศต่างเห็นโอกาสในการทำธุรกิจจึงเดินทางมาอยู่ที่นี่เพิ่มขึ้นอีก ทำให้ประชากรของเมืองเพิ่มอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 โยโกฮาม่าต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเมืองเสียหายยับเยินถึงสองครั้งสองครา เหตุการณ์แรกก็คือแผ่นดินไหวใหญ่ในเขตคันโตในปี ค.ศ.1923 ที่ทำให้ชาวเมืองเสียชีวิตถึง 30,000 คน และสงครามโลกครั้งที่สองที่กองทัพอากาศอเมริกันได้ใช้ระเบิดเพลิงกับเมืองครับ
ถึงกระนั้นโยโกฮาม่าได้ฟื้นฟูขึ้นมาหลังสงครามอย่างแข็งแกร่ง โยโกฮาม่าได้กลับมาเป็นเมืองท่าตามเดิม และได้รับเรือมากมายจากทั่วโลก ที่นี่จึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่งอย่างเช่นบริษัทรถอย่างนิสสัน และค่ายเกมที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Koei Tecmo (Dynasty Warriors/Nioh)
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเที่ยวโยโกฮาม่า
โยโกฮาม่าสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากจากโตเกียว ด้วยการนั่งรถไฟครับ ปัจจุบันมีรถไฟหลายขบวนที่คุณสามารถนั่งจากโตเกียวไปยังโยโกฮาม่าได้อาทิเช่น
- JR Tokaido Line
- JR Tokaido Shinkansen
- JR Shonen Shinjuku Line
- Tokyu Toyoko Line (จากชิบูย่า)
ส่วนใครที่เช่ารถจากสนามบินนาริตะมาแล้ว คุณสามารถขับไปเมืองโยโกฮาม่าได้เช่นกัน ระยะทางจะอยู่ที่ 100 กิโลเมตรครับ
ข้อมูลส่วนนี้อ้างอิงจาก Yokohama Official Visitors’ Guide โดยคุณสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ครับ
ไปเที่ยวโยโกฮาม่าช่วงไหนดี?
ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ คุณสามารถไปเที่ยวโยโกฮาม่าได้ในทุกฤดูครับ แต่ถ้าจะเอาให้ไม่หนาวหรือว่าร้อนจนเกินไป ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะเหมาะสมที่สุดครับ
ที่พัก
สำหรับใครที่ยังไม่ได้หาที่พักในเมือง ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักน่าจองในโยโกฮาม่าของผมเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. ท่องไชน่าทาวน์
ไชน่าทาวน์หรือชุมชนชาวจีนที่โยโกฮาม่านั้นใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของญี่ปุ่น และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย บรรยากาศของไชน่าทาวน์ที่นี่นั้นจะเหมือนกับที่อื่นๆ เพราะว่ามีร้านอาหารและร้านขายสินค้ามากมายกว่า 600 ร้านครับ
จุดเด่นของที่นี่คือแม้ว่าจะเป็นไชน่าทาวน์แต่ก็ผสมผสานไปด้วยความเป็นญี่ปุ่นอยู่ด้วย อย่างเช่นร้านค้าต่างๆ ที่แม้ว่าจะอัดแน่นแต่ก็มีความเป็นระเบียบ หรือว่า อาหารจีนของบางร้านจะมีกลิ่นอายของอาหารญี่ปุ่นอยู่กลายๆ ครับ
ศูนย์กลางของย่านนี้แน่นอนว่าคือวัดจีนที่ชื่อคันเทเบียว (Kanteibyo) หรือกวนตี้เมี่ยว ด้านในวัดได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามและอลังการไม่น้อย และประดิษฐานรูปปั้นของเหล่าเทพเจ้าจีนอย่างเช่นยี่ว์ตี้ กวนอู รวมไปถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวจีนครับ ในช่วงตรุษจีน ชาวจีนก็จะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างใหญ่โต ที่นี่เหมือนกับที่ไชน่าทาวน์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน
2. เดินเล่นที่สวนยามาชิตะ
สวนยามาชิตะ (Yamashita Park) หรือยามาชิตะโคเอ็นเป็นสวนสาธารณะริมทะเลแห่งแรกของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณท่าเรือโยโกฮาม่า ดังนั้นมีบริเวณที่ติดทะเลอยู่ถึง 700 เมตรด้วยกันครับ บริเวณพื้นของสวนนั้นถูกปูด้วยซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ที่พังทลายในแผ่นดินไหวเขตคันโตในปี ค.ศ.1923 ครับ
นอกจากวิวริมทะเลแล้ว ภายในสวนสาธารณะยังมีสนามหญ้า สวนกุหลาบ และรูปปั้นสวยๆ ที่ทางเมืองได้รับจากเมือง San Diego ที่เป็นเมืองพี่น้องกันครับ
3. ชมเรือเดินสมุทรฮิกาวะ มารุ และหอคอย Yokohama Marine Tower
ระหว่างที่คุณเดินเล่นที่สวนยามาชิตะนั้น คุณจะเห็นเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เรือลำนี้ชื่อว่าฮิกาวะ มารุ (Hikawa Maru) เป็นเรือเดินสมุทรสุดหรูอายุกว่า 100 ปีที่ครั้งหนึ่งเคยนำผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากโยโกฮาม่าไปยังซีแอตเทิลและแวนคูเวอร์ครับ
ในช่วงสงคราม เรือได้ถูกใช้เป็นสถานที่ปฐมพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ ก่อนที่จะกลับมาเดินเรือในเส้นทางเดิมในช่วงทศวรรษ 1950s และถูกปลดระวางถาวรในอีกสิบปีต่อมา
ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปลี่ยนเรือลำนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ โดยด้านในยังมีการตบแต่งแบบในยุค 1930 อยู่ เหมาะกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสบรรยากาศครับ
ใกล้กับเรือเดินสมุทรจะมีหอคอยชื่อ Yokohama Marine Tower ตั้งอยู่ ตัวหอคอยสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอายุ 100 ปีของเมืองท่าโยโกฮาม่า และในปัจจุบันเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงสวยๆ ของท่าเรือโยโกฮาม่าได้ครับ รวมไปถึงวิวพระอาทิตย์ตกลับภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย
4. ชมวิวที่ท่าเทียบเรือโอซันบาชิ
ท่าเทียบเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Pier) เป็นท่าเรืออายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งใช้รองรับเรือเดินสมุทรจากต่างประเทศที่เข้ามาเทียบท่าในเมืองโยโกฮาม่าครับ ปัจจุบันก็ยังเปิดใช้งานอยู่ ด้านในมีร้านอาหารและร้านค้าตั้งอยู่มากมายครับ
อย่างไรก็ดีสาเหตุที่นักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่ก็เพราะในบริเวณท่าเรือจะมีสวนสาธารณะตั้งอยู่ ซึ่งบริเวณสนามหญ้านั้นจะติดทะเล และเห็นวิว skyline ของย่านมินาโตะ มิไร 21 (Minato Mirai 21) แบบชัดเจน ที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ที่นิยมมาถ่ายรูปกันครับ
5. ชมวิวมุมสูงและช้อปปิ้งที่ Landmark Tower
Landmark Tower เป็นตึกสูง 296 เมตร ซึ่งในอดีตเคยครองตำแหน่งตึกสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ทศวรรษ ตัวตึกตั้งอยู่ริมทะเลและมีรูปร่างที่โดดเด่น ดังนั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของย่านมินาโตะ มิไร 21 ครับ
แน่นอนว่าคุณสามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองได้ที่ Sky Garden Observatory ด้านบนมีบาร์ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปหาอะไรจิบพร้อมกับความสวยงามของบริเวณท่าเรือในช่วงกลางคืนครับ
หลังจากชมวิวแล้ว คุณสามารถไปช้อปปิ้งได้เช่นกัน เพราะชั้น 2-5 ของตัวตึกเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีแบรนด์ต่างๆ มากมาย และถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานอย่างเทศกาลและการแสดงในช่วงคริสต์มาสครับ รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของต้นคริสต์มาสคริสตัล (Crystal Christmas Tree) ที่สูงถึง 8 เมตรอีกด้วย
6. สวนสนุก Cosmo World
สวนสนุก Cosmo World เป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ริมทะเล ซึ่งเป็นนาฬิกาบอกเวลาแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ด้วยครับ ด้วยความที่ตั้งอยู่ที่ริมทะเล และอยู่บริเวณย่านตึกสูง ทำให้ชิงช้าสวรรค์นี้กลายเป็นอีกสัญลักษณ์ของเมืองโยโกฮาม่าไปแล้ว
ด้านในมีเครื่องเล่นอยู่หลายชนิด ตั้งแต่ม้าหมุนไปจนถึงรถไฟเหาะ แต่ว่าขนาดโดยรวมของสวนสนุกไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาขึ้นชิงช้าสวรรค์เพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองครับ ซึ่งรอบนึงจะใช้เวลา 15 นาที ส่วนค่าขึ้นจะอยู่ที่ 700 เยนครับ (ชิงช้าสวรรค์อย่างเดียว ไม่รวมเครื่องอื่น)
7. เดินเล่นที่ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Aka Rengo Soko)
เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Aka-Renga Soko) ถูกครอบครองโดยหน่วยงานศุลกากรที่ใช้ตรวจสอบสินค้าต่างๆ ที่เรือเดินสมุทรนำมา อาคารที่ถูกสร้างเพื่อการนั้นเป็นอาคารอิฐสีแดง หรือที่เรียกกันว่า Yokohama Red Brick Warehouse ครับ
แต่ทุกวันนี้หน่วยงานรัฐไม่ได้ใช้อาคารเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่นัดพบของคู่เดตและคู่รักชาวญี่ปุ่นแทน เพราะว่ามีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์อยู่มากมาย รวมไปถึงเป็นสถานที่จัดเทศกาลสำคัญๆ ของเมือง อย่างเช่นคอนเสิร์ตหรือว่าเทศกาลเบียร์เป็นต้น และในช่วงกลางคืนก็จะมีการเปิดไฟให้กับตัวตึก ซึ่งจะสวยงามและดูโรแมนติกไปอีกแบบหนึ่งด้วยครับ
8. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่หลายคนสนใจมากที่สุดคือพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ Cup Noodles Museum Yokohama (Andō Momofuku Hatsumei Kinenkan)
ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นของบริษัทนิชชิน บริษัทบะหมี่สำเร็จรูปชั้นนำของญี่ปุ่น โดยจะเล่าประวัติและพัฒนาการของอาหารชนิดนี้ย้อนไปถึง ปี ค.ศ.1958 ที่เมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นครับ การเล่าเรื่องของที่นี่ถือว่าล้ำสมัยเพราะมีการใช้ CG และภาพยนตร์มาประกอบด้วย
อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลายคนชอบมากที่สุดคือ Factory Workshop กล่าวคือคุณสามารถพัฒนาสูตรของคุณเองจากส่วนผสมและเครื่องปรุงมากมาย และสามารถนำกลับบ้านไปด้วยครับ กิจกรรมนี้จะมีค่าเข้าร่วมที่ 500 เยนครับ แต่ถ้าจองล่วงหน้า เพราะว่าได้รับความนิยมสูงมาก
ท้ายที่สุดที่นี่ยังมีโซนอาหารหรือ Noodle Bazaar ที่นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มรสเมนูเส้นจากทั่วทุกมุมโลกได้ด้วยครับ
9. ช้อปปิ้งที่ย่านมินาโตะ มิไร 21
ย่านมินาโตะ มิไร 21 (Minato Mirai 21) เป็นย่านริมทะเลของเมืองโยโกฮาม่า โดยเป็นศูนย์กลางของการค้า และการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นที่นี่จึงมีตึกสูงมากมาย เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ ครับ
แหล่งช้อปปิ้งที่น่าสนใจได้แก่
- Landmark Plaza – อธิบายไปแล้วด้านบน
- Queen’s Square – ตั้งอยู่ตึกเดียวกับสถานีรถไฟ Minato Mirai ดังนั้นเดินทางไปง่ายสุดๆ และมีร้านค้ามากมาย
- Marine & Walk Yokohama – แหล่งช้อปปิ้งแบบ outdoor ที่สามารถรับลมทะเลไปได้ ด้านในมีร้านค้า (แบบ boutique) และร้านอาหารตั้งอยู่จำนวนมากครับ
- World Porters – มีขายทุกอย่างตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์กีฬา และอิเล็กทรอนิกส์
- Noge Shopping Avenue – ถนนคนเดินที่มีร้านค้าและร้านอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอิซากายะ และในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะมีการแสดงพื้นบ้านให้ชมอีกด้วย
นอกจากนี้ถ้าคุณมีเวลาเหลือ คุณสามารถไปแหล่งช้อปปิ้งในโยโกฮาม่าที่เพิ่งเปิดใหม่อย่าง Yokohama Hammerhead, Kitanaka Brick & White ฯลฯ เพิ่มเติมได้ครับ
10. ชิมราเมงขั้นเทพที่พิพิธภัณฑ์ราเมง
พิพิธภัณฑ์ราเมงหรือ Shin-Yokohama Ramen Museum เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในโยโกฮาม่าที่คนรักราเมงห้ามพลาด นอกจากที่นี่จะเล่าประวัติความเป็นมาของราเมง และวิธีการทำอย่างละเอียดแล้ว คุณยังจะได้ทราบถึงรูปแบบราเมงสไตล์ต่างๆ อันเลื่องชื่อของญี่ปุ่นด้วย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คุณสามารถลิ้มรสราเมงรสเด็ดของร้านดังจากภูมิภาคต่างๆ ได้ที่นี่ อย่างเช่น
- Ryu Shanghai Honten – ราเมงแบบมิโซะที่เน้นเครื่องน้ำซุปจากท้องทะเล
- Rishiri Ramen Mirakui – โชยุราเมงของเกาะริชิริที่หากินยากสุดๆ เพราะนอกจากจะไปยากแล้ว ร้านยังเปิดวันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง
- Komurasaki – ทงคตสึราเมงที่ใช้เบสเป็นกระดูกหมู และรวมกับการผสมผสานระหว่างซอสที่ทำจากกระดูกไก่ และซุปผัก
- Ryukyu Shinmen Tendou – ราเมงน้ำใสจากโอกินาวาที่รสชาติกลมกล่อม
- Hacchan Ramen – อีกหนึ่งเทพแห่งทงคตสึราเมงแห่งฟุกุโอกะที่ตัวร้านไม่มีสาขาและเปิดในช่วงดึกเท่านั้น ทำให้แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็ยังหาโอกาสไปลองชิมได้ยากสุดๆ จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปที่เข้มข้นเหนือกว่าราเมงทั่วไปครับ
สำหรับใครที่ทานไม่เยอะ คุณจะเลือกเป็นแบบไซส์เล็กพิเศษก็ได้นะครับ คุณจะได้ลองชิมให้ครบทุกแบบ
ทั้งนี้ร้านต่างๆในโซนนี้จะตบแต่งในสไตล์ของช่วงปี 1950s ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านเหล่านี้เปิดทำการเป็นครั้งแรก และช่วยให้คุณได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบดั้งเดิมครับ
นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านค้าอื่นๆ รวมไปถึงคาเฟ่อีกด้วย หรือว่าถ้าคุณอยากลองเรียนทำราเมงก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่กิจกรรมนี้ต้องจองล่วงหน้าและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
11. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
โยโกฮาม่าเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์มากกว่า 40 แห่งครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์สินค้าต่างๆ นอกเหนือจากที่ผมแนะนำไปแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่ผมมองว่าน่าสนใจได้แก่
- Mitsubishi Minatomirai Industrial Museum – พิพิธภัณฑ์ยานพาหนะและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยมีให้ชมตั้งแต่ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ หรือแม้กระทั่งอวกาศ
- Yokohama Museum of Art – พิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมืองที่รวบรวมผลงานของจิตรกรทั่วโลก โดยจะเน้นไปที่ศิลปะช่วงสมัยปลายศตวรรษที่ 19 ครับ
- Silk Museum – พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมที่เล่าความเป็นมาของการทำผ้าไหม และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
- Shiseido Global Innovation Center – พิพิธภัณฑ์เครื่องสำอางและประทินผิวของแบรนด์ Shiseido โดยจะเล่าถึงการผลิตเครื่องสำอางที่ดำเนินมาโดยทางบริษัทกว่า 100 ปี รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ที่นี่ยังมี beauty lab ที่คุณยังสามารถลองผลิตโลชั่นที่เหมาะกับผิวของคุณได้อีกด้วย
- Kirin Beer Factory – พิพิธภัณฑ์ที่อธิบายการผลิตเบียร์ในสถานที่จริง ซึ่งคุณจะได้ทั้งเดินชมกระบวนการต่างๆ อย่างเจนจบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำครับ
- Hakkeijima Sea Paradise – พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีสัตว์ทะเลมากมายให้ชม และมีการแสดงโชว์อีกด้วย
12. สัมผัสกลิ่นอายเก่าๆ ที่ย่านยามาเตะ
ย่านยามาเตะ (Yamate) เป็นย่านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชาวตะวันตกที่มาค้าขายและทำธุรกิจที่เมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ และได้ปลูกสร้างบ้านขึ้นจนกลายเป็นชุมชนขึ้น แต่ในปัจจุบันนั้นบ้านเหล่านั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เพราะแผ่นดินไหวเขตคันโตได้ทำลายบ้านเหล่านั้นไปเกือบทั้งหมดในปี ค.ศ.1923 ครับ
อย่างไรก็ดียังมีบ้านทรงตะวันตกที่สวยงามอยู่หลายหลัง อย่างเช่นที่ Harbor View Park ซึ่งคุณสามารถเข้าไปชมและสัมผัสกลิ่นอายแบบดั้งเดิมอยู่ที่ได้บ้างครับ ทั้งนี้บ้านเหล่านี้สร้างในช่วงปี ค.ศ.1924-1937 ครับ
ใกล้กับย่านยามาเตะคือถนนคนเดินโมโตมาจิ (Motomachi Shopping Street) ซึ่งในอดีตเป็นถนนที่ชาวตะวันตกนำสินค้าต่างๆ มาวางขายในญี่ปุ่น ตัวถนนนั้นสร้างขึ้นในรูปตะวันตก ดังนั้นจะมีกลิ่นอายเหมือนกับว่าอยู่ในยุโรปครับ
13. เดินเล่นที่ถนนคนเดินอื่นๆ
นอกเหนือจากย่านที่ผมได้แนะนำไปแล้ว โยโกฮาม่ายังมีถนนคนเดินอื่นๆ ที่น่าสนใจด้วยกัน อาทิเช่น
- ถนนโยโกฮามาบาจิ (Yokohamabachi) – ถนนคนเดินเก่าแก่ซึ่งมีกลิ่นอายของยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารและของว่างต่างๆ ปัจจุบันยังคงมีร้านค้ากว่า 135 ร้านตลอดระยะทาง 350 เมตรให้เดินเลือกซื้อของกันครับ
- Isezaki Mall – ถนนคนเดินที่มีสินค้ามาวางขายมากมาย โดยแต่ละโซนจะแยกประเภทสินค้าที่วางขายอย่างชัดเจน ทำให้เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจถ้าคุณอยากได้ของฝากจากเมืองนี้ครับ
14. ชมสวนแบบญี่ปุ่นและซากุระที่สวนซันเคเอ็น
สวนซันเคเอ็น (Sankei-en) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่กว่า 175,000 ตารางเมตร ที่ด้านในมีอาคารและบ้านพักแบบญี่ปุ่น รวมไปถึงสระน้ำ สะพาน และต้นไม้มากมาย ทำให้บรรยากาศที่นี่งดงามไม่แพ้สวนอื่นๆ เลยครับ
ในอดีตที่นี่เคยเป็นบ้านพักและพื้นที่ส่วนตัวของเศรษฐีผ้าไหมแห่งโยโกฮาม่านามว่าโทมิทาโระ ฮาระ (Tomitaro Hara) ก่อนที่จะเขาเปิดสวนด้านนอกให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ และหลังจากที่เขาเสียชีวิต สวนแห่งนี้ก็ได้ถูกบริจาคให้กับตัวเมืองโยโกฮาม่าครับ
ไฮไลท์ของที่นี่คือ อาคารต่างๆ ที่ถูกโยกย้ายมาจากสถานที่อื่นอย่างเช่นเกียวโตหรือคามาคุระ อย่างเช่นเจดีย์จากเกียวโตหรือว่าที่พำนักเก่าของตระกูลโตกุกาวะ โดยแทบทั้งหมดนั้นโทมิทาโระ ฮาระได้ใช้ความมั่งคั่งของตนเองซื้อมา และสั่งให้นำมาสร้างใหม่ที่สวนแห่งนี้ครับ
นอกจากตัวอาคารแล้ว จุดเด่นหนึ่งของสวนนี้คือมีดอกไม้ให้ชมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นซากุระ ไอริสญี่ปุ่น กุหลาบ ไปจนถึง hydrangea และ azalea ซึ่งคุณเดินทางมาชมได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของทุกปีครับ (แต่แน่นอนว่าจะบานไม่พร้อมกัน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลาได้จากเว็บนี้ครับ)
15. นั่งกระเช้าชมเมือง
ในเมืองโยโกฮาม่านั้น คุณสามารถนั่งกระเช้าชมเมืองได้ โดยกระเช้านี้เรียกว่า Yokohama Air Cabin ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 600 เมตรระหว่างสถานี Sakuragicho Station กับศูนย์การค้า World Porters ครับ
ค่าขึ้นจะอยู่ที่คนละ 1,000 เยน โดยผมมองว่าแพงพอสมควร แต่วิว skyline ผ่านกระเช้านั้นถือว่าสวยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางคืนครับ
16. ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง
โยโกฮาม่าเป็นเมืองที่มีการพบกันของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและต่างชาติ ดังนั้นอาหารที่นี่จึงหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารฟิวชั่นครับ เมนูที่คุณไม่ควรพลาดได้แก่
- สปาเกตตี้นาโปลิตัน (Napolitan) – เมนูที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าถือกำเนิดในอิตาลี แต่จริงๆ แล้วมาจากเมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ครับ โดยเป็นผลงานของชิเกะทาดะ ไอริเอะ หัวหน้าเชฟของโรงแรม New Grand ที่เห็นทหารอเมริกันใส่ซอสมะเขือเทศลงไปในเส้นพาสต้า เขาจึงคิดสูตรใหม่ขึ้นมาโดยใส่กระเทียมและหัวหอมลงไปครับ
- อิเอเคราเมง (Iekei Ramen) – ราเมงสูตรลับเฉพาะของโยโกฮาม่า น้ำซุปจะเป็นแบบทงคตสึผสมกับโชยุ ทำให้เข้มข้นมาก ถ้าจะลองต้องไปลองที่ร้าน Yoshimura-ya ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเมนูนี้ครับ
- กิวนาเบะ (Gyu-nabe) – เมนูเลิศรสที่เปรียบได้กับเป็น hotpot ของญี่ปุ่น โดยร้านกิวนาเบะบางร้านเปิดมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เลยครับ
- Bashamichi Ice – เมนูไอศกรีมแบบดั้งเดิมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เปิดอุตสาหกรรมไอศกรีมของญี่ปุ่น สูตรนี้ยังหารับประทานได้ที่ย่านอากะ เร็นกะ โซโกะ (Red Brick Warehouse) ครับ
อ้างอิง (References)
- Yokohama Official Visitors Guide
- Japan Travel (JNTO)
- Yokohama Kanbeibyo (Kuan Ti Miao) Official Site
- The Landmark Tower
- Yokohama Red Brick Warehouse (Official Site)
- Cup Noodles Museum (Official Site)
- Raumen.jp (เว็บของพิพิธภัณฑ์ราเมง)
- Sankei-en Garden – Blossoming Calendar
- Air Cabin – official site