ทตโตะริ (Tottori) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดชื่อเดียวกันในภาคตะวันตกของเกาะฮอนชู ตัวเมืองมีชื่อเสียงในเรื่องของเนินทรายที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และเป็นภูมิประเทศที่พบได้ไม่มากนักในญี่ปุ่นครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับทตโตะริอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักทตโตะริ (Tottori)
สภาพภูมิประเทศของเมืองทตโตะริตั้งอยู่ริมภูเขาซึ่งมีอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลญี่ปุ่น ตัวเมืองมีแม่น้ำเซนไดไหลผ่านและนำพาความอุดมสมบูรณ์มาให้พอสมควรครับ
ในหน้าประวัติศาสตร์นั้น ทตโตะริเริ่มมีการกล่าวถึงในหลักฐานต่างๆ ตั้งแต่สมัยเฮอันซึ่งเกียวโตเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น ต่อมาตัวเมืองได้กลายเป็นเมืองปราสาทของตระกูลยามานะ (Yamana) หนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจในภูมิภาคซานอินและซานโย เพื่อป้องกันการรุกรานของตระกูลอามาโกะ (Amago) แห่งอิซุโมะครับ
ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงยุคเซ็นโกกุ เมืองทตโตะริจะเผชิญกับไฟสงครามอยู่โดยตลอด แต่ปราสาทและตัวเมืองกลับไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใด ในสมัยเอโดะ รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะจึงมอบที่นี่ให้ตระกูลอิเคดะไปปกครอง
ตระกูลอิเคดะได้ปกครองทตโตะริอยู่นานกว่า 250 ปีจนกระทั่งสิ้นสมัยเอโดะ เมืองทตโตะริก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดชื่อเดียวกันในการปกครองส่วนภูมิภาคแบบใหม่ครับ
อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 20 นั้นตัวเมืองได้รับความเสียหายหนักอยู่หลายครั้ง อย่างในปี ค.ศ.1943 ตัวเมืองเก่าเสียหายแทบทั้งหมดเพราะแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับไฟไหม้ใหญ่ในปี ค.ศ.1952 ทำให้ตัวเมืองเก่าแทบทั้งหมดไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันครับ
ทุกวันนี้ทตโตะริเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค เช่นเดียวกับเป็นฮับในการเดินทางด้วย เพราะห่างจากเมืองใหญ่อย่างโกเบ โอซาก้า หรือเกียวโตประมาณ 200 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ
ข้อควรทราบ
1. เนินทรายทตโตะริ
เนินทรายทตโตะริ (Tottori Sand Dunes) เป็นเนินทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีขนาดยาว 16 กิโลเมตร และกว้าง 2 กิโลเมตร ส่วนความสูงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 50 เมตรครับ เนินทรายทตโตะรินั้นจะตั้งอยู่ริมทะเลญี่ปุ่น ทำให้มีความสวยงามควรค่าต่อการไปเยี่ยมเยือน
ต้นกำเนิดของทรายเหล่านี้มาจากการที่ทรายในแม่น้ำนั้นถูกผลักออกไปยังมหาสมุทร ก่อนที่จะถูกคลื่นซัดกลับเข้ามาทับถมกันบริเวณนี้ เกิดเป็นเนินทรายขนาดใหญ่นั่นเองครับ
จุดชมวิวที่ได้รับความนิยมที่สุดคือจุดที่ชื่อว่าอุมะโนเสะ (Umanose) ซึ่งแปลว่าหลังม้า จากตรงนี้คุณจะเห็นวิวแบบพาโนรามาของทะเลญี่ปุ่นครับ
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมมาขี่อูฐ นั่งรถม้า หรือเล่นกิจกรรมทะเลทรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น sandboarding ซึ่งจะให้ประสบการณ์คล้ายคลึงกับการเที่ยวทะเลทรายของจริงอย่างที่วาดิรัม แต่ขนาดจะเล็กกว่าชัดเจนครับ
ใกล้กับเนินทรายจะมีพิพิธภัณฑ์ชื่อ Sand Museum ตั้งอยู่ โดยจะจัดแสดงประติมากรรมต่างๆ ที่ศิลปินได้เนรมิตขึ้นมาจากทราย โดยแต่ละปีจะมี theme ที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดีที่นี่จะเข้าชมได้ช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนมกราคมเท่านั้นครับ
ในส่วนของการเดินทางนั้น เนินทรายทตโตะริจะอยู่ออกตัวเมืองออกไปพอสมควร ซึ่งคุณจะต้องนั่งรถบัสออกไปจากสถานีทตโตะริครับ
2. ซากปราสาททตโตะริ
ซากปราสาททตโตะริ (Tottori Castle Ruins) เป็นซากของปราสาทในสมัยศตวรรษที่ 16 ที่เคยเกี่ยวพันเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาไม่น้อย และเป็นสถานที่พำนักของไดเมียวที่ปกครองที่นี่มานานกว่า 300 ปี แต่น่าเสียดายที่ตัวปราสาทถูกรื้อถอนไปแล้วในสมัยเมจิ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต่อต้านมรดกทางวัฒนธรรมของระบอบโชกุน ณ เวลานั้น
ปัจจุบันตัวปราสาทได้เหลือแต่เพียงส่วนของฐานและประตูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปัจจุบันที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะที่มีต้นซากุระสำหรับให้ชาวเมืองมาพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ด้วยความที่พื้นที่บริเวณนี้เป้นภูเขา ทำให้เป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองที่ดีที่สุดครับ
ใกล้กับซากปราสาทมีอาคารสไตล์ฝรั่งเศสแบบ Neo-Renaissance ตั้งอยู่ โดยมีชื่อว่า Jinpukaku ตัวอาคารสร้างโดยไดเมียวตระกูลอิเคดะเพื่อใช้ต้อนรับมงกุฎราชกุมาร (ต่อมาคือจักรพรรดิไทโช) ในปี ค.ศ.1908
ตัวอาคารถือว่าทันสมัยมากในยุคนั้นเพราะถือว่าเป็นอาคารหลังแรกในเมืองที่มีไฟฟ้า แต่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นสวนคิวโช (Kyusho Park) อันเป็นจุดชมซากุระของนักท่องเที่ยวครับ
3. วัดคันนงอิน
วัดคันนงอิน (Kannon-in) เป็นวัดในนิกายเทนได หนึ่งในนิกายสำคัญของพุทธศาสนาญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 โดยไดเมียวตระกูลอิเคดะครับ
จุดเด่นของวัดนี้คือมีสวนที่สวยงามโดดเด่น โดยใช้แนวทางสร้างแบบชัคเคอิ (Shakkei) ที่ปรับแต่งสวนให้ภูมิทัศน์เบี้องหลังดูเป็นส่วนหนึ่งของตัวสวน ซึ่งเพิ่มความอลังการ และความร่มรื่นสวยงามครับ
ทั้งนี้ภายในวัดจะมีร้านที่ขายชาและของหวานที่คุณสามารถไปทานพร้อมกับชมวิวสวนญี่ปุ่นสวยๆ ได้ด้วยครับ
4. ทะเลสาบโคยามะ
ทะเลสาบโคยามะ (Lake Koyama) หรือสระโคยามะ (Koyama Pond) เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของตัวเมืองทตโตะริ ที่นี่เป็นแหล่งน้ำสำคัญของตัวเมือง เช่นเดียวกับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง
หนึ่งในเกาะในทะเลสาบอย่างเกาะอาโอะชิมะได้กลายเป้นสวนดอกไม้ที่มีทั้งดอกซากุระและนาโนฮานะให้ชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยช่วงที่ดีที่สุดคือต้นเดือนเมษายนครับ
ทั้งนี้ในการข้ามไปยังตัวเกาะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เรือแต่อย่างใด เพราะว่ามีสะพานเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ครับ
5. แช่ออนเซ็น
ทตโตะริถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีต้นกำเนิดของน้ำพุร้อนตั้งอยู่ในบริเวณตัวเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นในเมืองใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่น ดังนั้นคุณแทบไม่จำเป็นต้องนั่งรถออกไปเมืองออนเซ็นเล็กๆ แต่อย่างใด เพราะคุณสามารถแช่ในโรงอาบน้ำหลายแห่งในเมืองทตโตะริได้เลยครับ
โรงอาบน้ำเหล่านี้หลายแห่งจะอยู่ไม่ไกลจากสถานีทตโตะริ สำหรับแห่งที่น่าสนใจอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์นี้ครับ
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Yoshioka Hot Spring ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบโคยามะ และห่างจากตัวเมืองทตโตะริไปไม่ไกลนัก นอกจากออนเซ็นแล้ว เมืองนี้จะมีเทศกาลหิ่งห้อยที่มีให้ชมในตอนช่วงฤดูร้อนด้วยครับ คุณภาพน้ำแร่ของที่นี่มีชื่อเสียงเลื่องลือกว่า 1,000 ปีครับ
6. ชิมซีฟู้ดและเนื้อทตโตะริ
ทตโตะรินั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารทะเลคุณภาพดีที่ได้มาจากทะเลญี่ปุ่น โดยคุณสามารถไปลิ้มลองได้ที่ตลาดคาโรอิจิ (Karoichi) ที่มีร้านอาหารทะเลหลายแห่งที่ให้บริการทั้งซูชิ ซาชิมิ และเมนูอื่นๆ ครับ วัตถุดิบชั้นเลิศที่ไม่ควรพลาดได้แก่ปูมัตสึบะ ปูแดง (เบนิคานิ) และกุ้งโมซะครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือเนื้อทตโตะริ (Tottori Wagyu) ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยเนื้อชนิดนี้จะมี Oleic Acid อยู่มากถึง 55% ด้วยกัน ซึ่งกรดที่ว่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เนื้อละลายในปาก ดังนั้นใครที่อยากได้ความฟิน อย่าได้พลาดลิมลองครับ
ในส่วนของผลไม้นั้น จังหวัดทตโตะริถือว่าเป็นราชาของลูกแพร์และลูกพลับ โดยลูกแพร์นั้นจะออกผลผลิตในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ขณะที่ลูกพลับจะออกในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมครับ
References
- Tottori City
- Tottori Tour