เมืองตูริน (Turin) หรือโตริโน่ (Torino) ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองหลวงของเขต Piedmont ในประเทศอิตาลี คนไทยส่วนมากน่าจะรู้จักเมืองนี้เพราะเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ทีมชั้นนำในลีคกัลโช่ เซเรีย อาครับ
อย่างไรก็ดีเมืองตูรินเป็นเมืองโบราณที่มีความสวยงาม พระราชวังที่โอ่โถ่ง และมีพิพิธภัณฑ์ระดับโลกตั้งอยู่อีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้ไปเยือนประเทศอิตาลี การไปเยือนเมืองตูรินสักครั้งจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองตูรินโดยคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งว่าในบทความมี Affiliate Links หรือแปลว่าถ้าคุณจองบริการหรือซื้อบัตรต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความ ผมจะได้รับส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการครับ
รู้จักเมืองตูริน (Turin)
ตูรินตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี โดยด้านตะวันตกและเหนือของเมืองคือแนวเทือกเขาแอลป์อันสวยงาม บริเวณเมืองนั้นมีแม่น้ำโป (Po River) ไหลผ่าน เช่นเดียวกับแม่น้ำอื่นๆ อีกสามแห่ง ทำให้พื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ครับ
ย้อนกลับไปในช่วงประมาณ 220 ปีก่อนคริสตกาล พื้นที่แถบเมืองตูรินเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาว Taurini ซึ่งได้สร้างเมืองของพวกตนขึ้น ในช่วงที่อาณาจักรโรมันทำสงครามกับคาร์เธจ (อาณาจักรโบราณของชาวฟินีเซียนที่ตั้งอยู่ในประเทศตูนิเซียในปัจจุบัน) กองทัพคาร์เธจที่ได้ข้ามเทือกเขาแอลป์มาจากสเปนได้โจมตีเมืองแห่งนี้เพราะเป็นทางผ่านไปสู่อาณาจักรโรมัน นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองตูรินปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ครับ
ต่อมาในช่วงปี 27 ก่อนคริสตกาล ตูรินได้ถูกปกครองโดยชาวโรมัน ซึ่งในช่วงนี้ตัวเมืองมีชื่อว่า Augusta Taurinorum และได้มีการสร้างกำแพงเมืองสูงใหญ่ขึ้นป้องกันเมือง โดยในสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของยุคโรมันนั้น ตัวเมืองมีประชากรประมาณ 5,000 คน ซึ่งถือว่าใหญ่ระดับหนึ่งแต่ไม่เท่ากับเมืองเอกอย่างราเวนนา หรือ อาเรสโซครับ
หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย เมืองตูรินได้ถูกเปลี่ยนมือไปมาระหว่างอนารยชนเผ่าต่างๆ และชาวไบแซนไทน์ที่พยายามยึดครองดินแดนในอิตาลีกลับคืน จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 8 ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแฟรงก์ และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในเวลาต่อมา
ในช่วงศตวรรษที่ 12-13 ตัวเมืองถูกปกครองด้วยระบบรัฐทางศาสนา โดยมีบิชอปเป็นประมุข ก่อนที่จะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของ Duchy of Savoy ในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เมืองตูรินเริ่มกลายเป็นเมืองเอกของอิตาลี สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และสวยงามได้ถูกสร้างขึ้นมากมายครับ
ช่วงศตวรรษที่ 16 ตูรินได้กลายเป็นเมืองหลวงของดัชชีแห่งซาวอย (Duchy of Savoy) ทำให้มีการสร้างปราสาทราชวังเพื่อรองรับดยุคผู้เป็นประมุขแห่งรัฐ และยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกหลังจากที่ดยุคแห่งซาวอยได้ครอบครองดินแดนซาร์ดิเนีย ทำให้พระองค์สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียครับ ในช่วงนี้เองที่ตูรินมีประชากรถึงเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียว
ในปี ค.ศ.1861 นครรัฐต่างๆ ในอิตาลีได้รวมตัวกันเป็นประเทศอิตาลี ซึ่งในช่วงสี่ปีแรกนั้น เมืองหลวงคือเมืองตูรินแห่งนี้ ก่อนที่จะย้ายไปเมืองฟลอเรนซ์ ตามมาด้วยกรุงโรมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเมืองหลวงแล้ว แต่ตูรินยังคงเป็นเมืองที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและคมนาคม และเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมที่รุ่งโรจน์ ทำให้ประชากรจากที่ต่างๆ อพยพมาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ครับ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นช่วงที่เมืองตูรินได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิด ทำให้อาคารในเมืองพังทลายไปถึง 54% แต่ทางเมืองก็กลับมารุ่งโรจน์อย่างรวดเร็ว เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีบริษัทชั้นนำอย่าง Fiat และ Lancia ที่กระตุ้นการจ้างงานอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าวครับ
ปัจจุบันเมืองตูรินเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอิตาลี นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลมาชมตัวเมืองเก่าที่สวยงาม ตลอดจนพิพิธภัณฑ์อียิปต์วิทยาชั้นนำของโลก ไปจนถึงเข้าชมการแข่งขันกีฬาที่สนามเหย้าของสโมสรยูเวนตุส รวมไปถึงรับประทานอาหารพื้นเมืองแสนอร่อยครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองตูริน (Turin) ทำอย่างไร?
ประหยัดค่าเข้าชมในเมืองตูรินอย่างไร?
เมืองตูรินมีพาสที่คุณสามารถซื้อได้อยู่สองแบบด้วยกัน แบบแรกคือ Torino-Piemonte Card ที่มีอายุ 1-5 วัน ซึ่งจะรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแทบทั้งหมดในเมืองตูริน และให้ส่วนลดกับการใช้บริการกระเช้าหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในเมืองครับ อย่างไรก็ดีถึงแม้จะซื้อบัตรแล้ว คุณก็ยังต้องจองคิวเข้าสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งอยู่ดีครับ ราคาจะเริ่มต้นที่ 29 ยูโรสำหรับ 1 วันครับ
แบบที่สองคือ Royal Pass ที่จะรวมเฉพาะค่าเข้าพระราชวังต่างๆ เท่านั้น แต่จะให้ส่วนลดกับสถานที่เที่ยวยอดนิยมอื่นๆ ค่าบริการจะอยู่ที่ 30 ยูโร แต่บัตรจะมีอายุนานถึง 4 วันครับ
การสัญจรในเมืองตูรินทำอย่างไร?
การเดินทางไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ในเขตเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องยากเพราะว่ามีรถบัสและรถรางครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการความสะดวกสบายหรือความเป็นส่วนตัว แท็กซี่ก็มีให้ใช้บริการครับ
1. Musei Reali
Musei Reali หรือ Royal Museums เป็นพระราชวังที่เคยเป็นสถานที่พำนักของดยุคแห่งซาวอยซึ่งในเวลาต่อมาได้เลื่อนสถานะตนเองเป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนีย ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีได้มีการสร้างพระราชวังขนาดใหญ่หลายแห่งที่สวยงามและควรค่าต่อการไปเข้าชมอย่างยิ่งเลยครับ ปัจจุบันวังเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ครับ
แห่งแรกที่คุณไปเยือนแน่นอนว่าคือ Royal Palace หรือ Palazzo Reale พระราชวังสไตล์ Baroque อันยิ่งใหญ่ที่เริ่มสร้า่งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างแต่งเติมตัววังให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกร่วมกับวังอีก 13 แห่งของดยุคแห่งซาวอยครับ
จุดต่อมาที่น่าสนใจคือ Royal Armoury หรือว่า Armeria Reale ที่เคยเป็นสถานที่เก็บของสะสมของราชินีแห่งซาวอยมาก่อน แต่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่เก็บอาวุธในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งกษัตริย์ชาร์ลส์ อัลเบิร์ตแห่งราชวงศ์ซาวอยได้กว้านซื้ออาวุธโบราณสมัยศตวรรษที่ 15-19 มาเก็บรักษาไว้ที่นี่ ทว่าหลังจากที่ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว โบราณวัตถุที่ไม่ใช่อาวุธก็ถูกนำมาจัดแสดงที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่ไฮไลท์ของที่นี่แน่นอนว่าเป็นอาวุธโบราณ ซึ่งมีมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยครับ
Royal Library – กษัตริย์ชาร์ลส์ อัลเบิร์ตคนเดิมทรงโปรดให้สร้างห้องสมุดหลวงขึ้นเพื่อเก็บรักษาหนังสือและเอกสารต่างๆ รวมไปถึงผลงานศิลปะบางส่วนที่ทรงได้ซื้อมา หนึ่งในนั้นมีลายเซ็นของดาวินชีด้วยครับ ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ให้บุคคลทั่วไปมายืมหนังสือและนั่งอ่านหนังสือได้ครับ
Savoy Gallery – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก็บรักษาคอลเล็คชั่นที่ดยุคและกษัตริย์ราชวงศ์ซาวอยได้ทรงเก็บรวบรวมสะสมเอาไว้ ด้านในมีผลงานของศิลปินจากในตูรินเอง รวมไปถึงงานของชาวอิตาเลียนและดัชต์อีกจำนวนหนึ่งด้วยครับ
Archaeological Museum – พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่มีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 17 และเก็บโบราณวัตถุอันล้ำค่าที่ส่วนมากค้นพบในเขตเมืองตูริน บางชิ้นนั้นมีความเป็นมาตั้งแต่สมัยโรมันเลยครับ
Chapel of the Holy Shroud – โบสถ์ที่สร้างขึ้นที่เก็บรักษาผ้าโบราณที่มีใบหน้าของชายที่ถูกเสียชีวิตเพราะถูกทรมาน ซึ่งชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นใบหน้าของพระเยซูคริสต์
ทั้งนี้ดยุคแห่งซาวอยได้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1453 แต่โบสถ์นี้สร้างขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เพื่อเก็บรักษาผ้าที่ว่านี้โดยเฉพาะครับ = ตัวโบสถ์นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมแบบ Baroque โดยเฉพาะตัวเพดานด้านในที่เรียงรายกันเป็นชั้นๆ และด้านบนสุดจะมีสัญลักษณ์ของ Holy Spirit ตั้งอยู่ครับ
Royal Garden – ปิดท้ายด้วยสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพระราชวังหลวง โดยตัวสวนจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ East Garden ที่ได้รับการจัดว่าเป็นหนึ่งในสวนที่งดงามที่สุดของอิตาลีครับ
2. Museo Egizio
นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์สถา่นแห่งชาติของอียิปต์ที่กรุงไคโรแล้ว ไม่มีสถานที่ใดจะมีโบราณวัตถุของอียิปต์โบราณเท่ากับ Museo Egizio ในเมืองตูรินแห่งนี้ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์ชาร์ลส์ เฟลิกซ์ทรงซื้อมาจากกงสุลฝรั่งเศสที่ได้เก็บรวบรวมโบราณวัตถุจากอียิปต์ในช่วงปี ค.ศ.1824 ซึ่งมีตั้งแต่รูปปั้นไปจนถึงกระดาษปาปิรัสโบราณ หลังจากนั้นราชวงศ์ซาวอยก็ได้ซื้อโบราณวัตถุมาเพิ่มเติม เช่นเดียวกับการมอบให้ของรัฐบาลอียิปต์บางส่วนในยุคหลังครับ
ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์มีโบราณวัตถุของอียิปต์โบราณกว่า 37,000 ชิ้น (ดูตัวอย่างสิ่งของจัดแสดงได้ที่เว็บของพิพิธภัณฑ์) ชิ้นที่โด่งดังได้แก่ Turin Royal Canon ที่มีรายพระนามของฟาโรห์ที่ปกครองอียิปต์ และเป็นหนึ่งในเอกสารทางประวัติศาสตร์อียิปต์ที่ล้ำค่าที่สุด รวมไปถึง Book of the Dead ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบ ณ ปัจจุบันด้วยครับ
3. Palazzo Madama
Palazzo Madama หรือ Madama Palace เป็นอีกหนึ่งพระราชวังของกษัตริย์ราชวงศ์ซาวอย แต่มีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยในสมัยนั้นที่นี่เป็นประตูเมืองและที่ตั้งของกองบัญชาการของฝ่ายทหาร ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นป้อมปราการที่ใช้ป้องกันเมือง และตามมาด้วยเป็นพระราชวังสไตล์บารอคในช่วงศตวรรษที่ 18 ครับ
อย่างไรก็ดีในสมัยศตวรรษที่ 19 กษัตริย์ชาร์ลส์ได้เปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่ประชุมของสมาชิกวุฒิสภา และต่อมาได้เป็นสถานที่ที่มีการประกาศการก่อตั้งประเทศอิตาลีในปี ค.ศ.1861 ด้วยครับ
ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือ Municipal Museum of Ancient Art ที่เก็บงานศิลปะตั้งแต่ยุคโรมันมาจนถึงยุค Renaissance ครับ ทั้งนี้ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ Piazza Castello ไม่ไกลจาก Musei Reali ครับ
4. Mole Antonelliana
Mole Antonelliana เป็นอาคารที่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของเมืองตูริน เนื่องด้วยมีหอคอยที่สูงถึง 168 เมตรที่สูงเหนือกว่าสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในเมือง ในปัจจุบันคุณสามารถขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาของเมืองตูรินบนหอคอยได้ด้วยครับ
ด้านในของอาคารนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ Museo Nazionale Del Cinema ที่ให้คุณได้เรียนรู้เทคนิคการถ่ายทำต่างๆ อย่างเช่นการใช้แสง การใช้กล้อง แบบประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ยังจัดแสดงสิ่งของเก่าๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการถ่ายทำภาพยนตร์ในอดีตด้วยครับ
5. Basilica di Superga
ในปี ค.ศ.1706 ดยุควิกเตอร์แห่งซาวอยได้เดินทางมาที่นี่เพื่อมาตรวจสอบการโจมตีของกองทัพฝรั่งเศสและสเปนที่กำลังเข้าตีเมืองตูรินในเวลานั้น โดยพระองค์ได้ลั่นวาจาไว้ว่าถ้าพระองค์ได้รับชัยชนะ พระองค์จะสร้างอนุสรณ์ขนาดใหญ่ขึ้นที่ภูเขา Superga แห่งนี้
ปรากฏว่าเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย (Prince Eugene of Savoy) ได้นำกองทัพสามหมื่นคนมาสนับสนุน และเข้าตีทหารฝรั่งเศสที่มีมากกว่าจนต้องถอยไป หลังจากนั้นดยุควิกเตอร์จึงได้โปรดให้สร้างขึ้นมหาวิหารขึ้นที่นี่ในนาม Basilica di Superga ครับ
ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในสไตล์ Baroque อย่างสวยงาม หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว ที่นี่ได้กลายเป็นสุสานหลวงที่ใช้ฝังพระศพของดยุคและกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซาวอยแทบทุกพระองค์ครับ แน่นอนว่าคุณสามารถเข้าไปชมได้เช่นกัน
6. Borga e Rocca Medievale
Borga e Rocca Medievale หรือ Borgo Medievale เป็นหมู่บ้านแบบศตวรรษที่ 15 ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อให้เป็นสถานที่จัดแสดงในงาน Italian General Exhibition เพื่อจำลองวิถีชีวิตในช่วงยุคศักดินา ศูนย์กลางของหมู่บ้านจะมีปราสาทตั้งอยู่ และมีบ้านเรือนต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโปให้ได้ชมครับ เช่นเดียวกับร้านค้าอีกหลายแห่งที่ให้คุณได้จับจ่ายซื้อของที่ระลึกด้วยเช่นกัน
ใกล้กับหมู่บ้านแห่งนี้คือ Parco del Valentino หรือ Valentino Park สวนแบบอิตาเลียนขนาดใหญ่ที่สวยงามในทุกฤดู ด้านในสวนมีสวนพฤกษศาสตร์ รวมไปถึงอาคารสำคัญอย่าง Castello del Valentino วังเก่าของราชวงศ์ซาวอยที่ได้เป็นสถานที่ตั้งของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยตูรินครับ
7. Church of San Lorenzo
Church of San Lorenzo เป็นโบสถ์สมัยศตวรรษที่ 17 ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroque จุดเด่นสำคัญของที่นี่คือสถาปนิกได้มีการสร้างโดยใช้หลักของ optical illusion ในด้านในอาคาร กล่าวคือรูปทรงต่างๆ จะถูกเปลี่ยนสลับไปมา (วงกลม แปดเหลี่ยมไปจนถึงไม้กางเขน) แล้วแต่ว่าคุณจะมองมุมไหน
หลักการสร้างแบบนี้เป็นผลงานระดับ masterpiece ของ Guarino Guarini ที่เรียกได้ว่าสุดยอดครับ ที่นี่ถือว่าน่าไปชมอย่างยิ่งครับ
8. Reggia di Venaria
Reggia di Venaria หรือ Royal Palace of Venaria เป็นพระราชวังซาวอยที่ตั้งอยู่นอกเมืองตูริน (ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร) โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักยามล่าสัตว์ของดยุคแห่งซาวอย ตัวอาคารและสวนของที่นี่งดงามมาก และเป็น a must อีกแห่งถ้าคุณได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองตูรินครับ
จุดที่น่าสนใจในพระราชวังแห่งนี้ได้แก่
Reggia – หรือตัวพระราชวังที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroque ด้านในมี Hall of Diana ห้องโถงใหญ่สีขาวที่สวยงามตระการตา และประดับประดาด้วยภาพเขียนที่แสดงถึงการล่าสัตว์ ไปจนถึง Great Gallery โถงทางเดินสุดอลังการที่เชื่อมห้องพักของกษัตริย์กับมงกุฎราชกุมารแห่งซาวอย
นอกจากนี้ยังมี Church of St.Hubert โบสถ์หลังใหญ่ที่มีแท่นบูชาที่สวยอลังการ และโรงม้าสไตล์ Baroque อย่าง Juvarra Stables ที่แสดงถึงความมั่งคั่งของราชวงศ์ซาวอยได้เป็นอย่างดีครับ
The Garden – สื่งแรกที่คุณควรไปชมคือ Water Theatre ที่มีน้ำพุนับร้อยที่มีที่มากว่า 200 ปีจะพุ่งขึ้นมาต้อนรับผู้มาเยือนพระราชวังแห่งนี้ ช่วงกลางคืนนั้นจะมีการแสดงแสงสีเสียงที่น่าชมมากครับ
ตัวสวนของพระราชวังนั้นใหญ่มาก โดยแบ่งออกได้เป็น Upper Park, Lower Park, Central Alley ซึ่งแต่ละส่วนนั้นจะมีสวนแยกย่อยลงไปอีกอย่างเช่นสวนกุหลาบ (Rose Garden) หรือ The Gran Parterre ที่ใช้ต้อนรับแขกเมืองครับ ถ้าคุณชอบสวนสวยๆ แล้วนั้น ผมบอกได้เลยว่าคุณเดินได้เป็นชั่วโมงครับ
Castle of La Mandria – ปราสาทที่เป็นสถานที่พักตากอากาศของผู้ปกครองราชวงศ์ซาวอยในช่วงศตวรรษที่ 19 ในอาคารมีห้องประมาณ 20 ห้อง ซึ่งคุณสามารถสัมผัสวิถีชีวิตของกษัตริย์แห่งซาวอยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอย่างดีครับ
9. ชมพิพิธภัณฑ์อื่นๆ
นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์ที่ผมได้แนะนำไปแล้ว เมืองตูรินยังมีพิพิธภัณฑ์อีกมากมายที่ควรค่าต่อการไปเยือน อาทิเช่น
Galleria Sabauda – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานชั้นยอดของจิตรกรชาวอิตาเลียนและดัชต์ ซึ่งรวมไปถึงงานของ Van Dyck และ Rembrandt ครับ
Museo Nazionale dell’Automobile – พิพิธภัณฑ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่จัดแสดงยานยนต์เก่าๆ โดยเฉพาะจากยุคคลาสสิคของบริษัทรถยนต์อย่าง Fiat และ Alfa Romeo รวมไปถึงแบรนด์อื่นๆ อย่างเช่น Ferrari ด้วยครับ
GAM Torino – พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของอิตาลีที่จัดแสดงผลงานศิลปะแบบโมเดิร์นและร่วมสมัย ส่วนมากจะเป็นผลงานจากสมัยศตวรรษที่ 18-20 ครับ
Museo d’Arte Orientale – พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันออกที่ตั้งอยู่ใน Palazzo Mazzonis ที่นี่จัดแสดงโบราณวัตถุจากเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึง จีน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลางครับ
National Museum of the Italian Risorgimento – ตั้งอยู่ใน Carignano Palace วังเก่าของราชวงศ์ซาวอย โดยที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของยุค Risorgimento หรือยุคที่รัฐต่างๆ ในอิตาลีรวมตัวกันเป็นประเทศไปจนถึงช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ
10. Allianz Stadium
Allianz Stadium เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส หรือยูเว่ ทีมชั้นนำของลีคอิตาลี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจทางฟุตบอล และมีแฟนบอลมากมายรวมไปถึงในประเทศไทยด้วยครับ
ทั้งนี้คุณสามารถซื้อทัวร์เพื่อเข้าชมตัวสนามได้ ซึ่งรวมไปถึงห้องแต่งตัวของนักเตะ หรือว่าไปเยี่ยมเยือน Juventus Museum พิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของสโมสรยูเวนตุสครับ
แต่ถ้ามีโอกาส ผมแนะนำให้เข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลในสนามแห่งนี้สักครั้งเพื่อสัมผัสการเชียร์ฟุตบอลอัน hardcore ของชาวเมืองตูรินครับ
11. Piazza San Carlo
Piazza San Carlo เป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดในเมืองตูริน ตัวจัตุรัสถูกโอบล้อมด้วยโบสถ์อันสวยงาม เช่นเดียวกับอาคารแบบสมัยศตวรรษที่ 19 ที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้าและคาเฟ่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงร้านค้าต่างๆ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ช้อปปิ้งชั้นนำแห่งหนึ่งของเมืองครับ
ตรงกลางจัตุรัสประดิษฐานอนุสาวรีย์ของ Emmanuel Philibert ดยุคแห่งซาวอยที่ครองตำแหน่งในช่วงศตวรรษที่ 16 ผู้ย้ายเมืองหลวงจาก Chambery (ปัจจุบันอยู่ในฝรั่งเศส) มายังตูรินครับ
12. Palazzina di Caccia di Stupinigi
Palazzina di Caccia di Stupinigi เป็นวังอีกหนึ่งแห่งเพื่อรองรับกษัตริย์ราชวงศ์ซาวอยเมื่อเสด็จแปรพระราชฐานมาล่าสัตว์ร่วมกับเชื้อพระวงศ์ยุโรปอื่นๆ ตัววังใช้เวลาสร้างอย่างยาวนานโดยเริ่มต้นตั้งแต่สมัย ค.ศ.1729 จวบจนสิ้นสุดศตวรรษที่ 19 (นานเพราะการสร้างแต่งเติม)
ด้านในได้รับการตบแต่งแบบสไตล์บารอคที่หรูหรางานสร้าง คุณจะได้ชมห้องพักของกษัตริย์และราชินีและซาวอย ไปจนถึงห้องสมุด และโบสถ์ส่วนพระองค์ที่ล้วนแต่งดงามน่าไปชมอย่างยิ่งครับ
13. Porta Palatina
Porta Palatina เป็นสิ่งก่อสร้างน้อยแห่งที่หลงเหลือมาตั้งแต่ครั้งยุคโรมัน ในอดีตที่นี่เป็นหนึ่งในประตูใหญ่ที่เป็นทางเข้าออกเมืองครับ ตัวประตูยังอยู่ในสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ และน่าจะเป็นประตูเมืองโรมันที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยครับ
ประตูแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดง และมีหอคอยขนาบสองข้าง ส่วนตรงกลางเป็นประตูโค้งที่เป็นทางเข้าออกครับ
14. ชิมอาหารพื้นเมือง
อาหารของตูรินนั้นเป็นอาหารอิตาเลียนแบบ Piedmontese แม้ว่าชื่อเสียงของเมนูอาจจะไม่ได้เลื่องลือเท่ากับโบโลญญ่า แต่ก็อร่อยไม่แพ้กันครับ เมนูที่น่าลองประกอบด้วย
- Vitello Tonnato – เนื้อลูกวัวคลุกเคล้ากับซอสพิเศษที่ทำมาจากไข่ ทูน่า เครื่องเทศ และแอนโชวี เมนูนี้เป็นเมนูเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 เลยครับ
- Tajarin – พาสต้าที่ใส่ไข่ลงไปในตัวเส้น ชาวเมืองตูรินรับประทานมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 แล้วครับ
- Insalata Russa – หรือสลัดรัสเซีย มักจะใช้เสิร์ฟให้กับเชื้อพระวงศ์ซาวอย ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าทำไมถึงเรียกว่าสลัดรัสเซีย บ้างว่าตั้งชื่อให้เป็นเกียรติกับซาร์แห่งรัสเซียที่เสด็จมายังตูรินครับ
- Fricio – เค้กแบบนุ่มก้อนกลมโรยด้วยน้ำตาล เป็นเมนูของหวานที่ใครๆ ก็หลงรักครับ
15. ช้อปปิ้ง
นอกเหนือจาก Piazza San Carlo แล้วนั้น เมืองตูรินยังมีสถานที่ช้อปปิ้งที่น่าไปละลายเงินยูโรหลายแห่ง อย่างเช่น Galleria Subalpina ห้างสรรพสินค้าที่ตบแต่งในสไตล์ Art Nouveau หรือว่าถนนคนเดิน Via Garibaldi ที่ยาวเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป เช่นเดียวกับ Via Roma และ Via Lagrange และ Via Carlo Alberto ครับ
สำหรับใครที่ชอบเดินตลาด Porta Palazzo น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดครับ
References
- Musei Reali Official Site
- Turismo Torino (Turin Official Travel Site)
- Museo Egizio Official Site
- Palace of Venaria Site
- Residenzerealisabaude Official Site
- Ordinemauriziano.it