อุจิ (Uji) เป็นเมืองขนาดเล็กในจังหวัดเกียวโตที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเกียวโตและนารา สองอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น แม้ว่าในปัจจุบันอุจิจะไม่ได้มีความสำคัญเหมือนกับในอดีตเมื่อพันปีก่อน แต่ที่นี่ก็เป็นเมืองสวยที่มีประวัติศาสตร์และร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่จะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งครับ
ในบทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองอุจิอย่างคร่าวๆ พร้อมกับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักเมืองอุจิ (Uji)
ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำอุจิที่ใสสะอาดและสวยงาม เมืองอุจิเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นโบราณมายาวนานแล้ว ตามตำนานเล่าว่าโอรสจักรพรรดิโอจินเคยสร้างปราสาทราชวังที่นี่ขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 4 ครับ ต่อมาในช่วงยุคเฮอันก็ได้มีการสร้างวัดและศาลเจ้าขึ้นหลายแห่งที่นี่ครับ
เมืองอุจิเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวญี่ปุ่นในเวลานั้น ส่วนหนึ่งเพราะปรากฏในบทท้ายๆ ของวรรณกรรมญี่ปุ่นคลาสสิคที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างเกนจิ โมโนกาตาริ (Genji Monogatari) หรือว่า The Tale of Genji ครับ
อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 12 อุจิเป็นสมรภูมิหลักของสงครามเกนเปยที่เป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น และในช่วงเวลาต่อมาอีกสี่สิบกว่าปี อุจิก็เป็นสถานที่ของการปะทะเพื่อแย่งชิงอำนาจหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งน่าจะทำให้ตัวเมืองได้รับความเสียหายไปไม่น้อย
ตัวเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงยุคศตวรรษที่ 14 และเริ่มมีชื่อเสียงในเรื่องการปลูกชา เพราะโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึได้สนับสนุนให้มีการปลูกชาคุณภาพดีในบริเวณนี้ นับตั้งแต่บัดนั้นอุจิก็มีชื่อเสียงว่ามีชาคุณภาพเยี่ยมไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน
ในช่วงเซ็นโกกุ ที่นี่กลายเป็นสมรภูมิอีกครั้งและเป็นที่แย่งชิงกันในหมู่ตระกูลต่างๆ แต่เข้าสมัยเอโดะก็กลับมารุ่งเรืองเช่นเดิม โดยเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมอันโดดเด่นได้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองอุจิทำอย่างไร?
คุณสามารถเดินทางไปจากเมืองอุจิได้จากเกียวโตหรือนาราด้วยรถไฟ JR Nara Line Express (Miyakoji Rapid) ซึ่งจะใช้เวลา 17-27 นาทีครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Kyoto Uji Kankou หรือว่า JR West ครับ
1. วัดเบียวโดอิน
วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) เป็นวัดในเมืองอุจิที่มีสถานะเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในอดีตที่นี่เคยเป็นบ้านพักของชนชั้นสูงมาก่อน (ตระกูลมินาโมโตะและฟูจิวาระ) ก่อนที่ในปี ค.ศ.1052 ตระกูลฟูจิวาระจะเปลี่ยนที่นี่เป็นวัดในพุทธศาสนาในนิกายโจโดซึ่งมีความเชื่อเดียวกับนิกายสุขาวดีในภูมิภาคอื่นๆ (จีน เกาหลี ฯลฯ)
ด้านในจึงมีหอพระอมิตาโดะ (Amida-do) ที่เก็บรักษาพระพุทธรูปของพระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค๋ที่สำคัญที่สุดในนิกายแห่งนี้ ตัวหอมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปปั้นนกฟีนิกซ์สองตัวที่อยู่บนหลังคาครับ นอกจากนี้อาคารหลังนี้ยังมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ด้วย เพราะเป็นอาคารหลังเดิมที่สืบต่อมาจากสมัยเฮอัน และไม่ใช่ของสร้างใหม่เหมือนกับวัดดังๆ ส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นครับ
ใกล้กับหอพระแห่งนี้มีสระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจำลองภาพของดินแดนสุขาวดีหรือ Pure Land ซึ่งพระอมิตาภพุทธเจ้าทรงปฏิญาณไว้ว่าจะนำศาสนิกของพระองค์ผู้เปี่ยมด้วยความศรัทธาไปพำนักอยู่ที่นี่และได้รับฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมกันครับ
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือท้องพระคลังของวัดที่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โฮโชคัง (Hoshokan Museum) ที่จัดแสดงปูชนึยวัตถุมีค่าจำนวนมาก และเล่าเรื่องราวของวัดอย่างละเอียดด้วย ถ้าใครชื่นชอบประวัติศาสตร์แน่นอนว่าไม่ควรพลาดครับ
สำหรับใครที่ชอบดื่มชา ในพื้นที่วัดมีโรงชาตั้งอยู่ด้วยชื่อโตกะ (Toka) ซึ่งคุณสามารถลิ้มลองชาเขียวอุจิอันเลื่องลือคู่กับขนมหวานพื้นเมืองแสนอร่อยได้ในราคาไม่แพงครับ
2. ศาลเจ้าอุจิกามิ
ศาลเจ้าอุจิกามิ (Ujigami Shrine) เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของเมืองอุจิ โดยสถิตดวงวิญญาณของจักรพรรดิญี่ปุ่นในอดีต (ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นว่าเป็นจักรพรรดิในตำนานหลายพระองค์ โดยเฉพาะอุจิโนวากิ-อิราสึโกะที่ได้ปราชัยในสงครามแย่งบัลลังก์และได้ปลิดชีพตนเองที่เมืองอุจิครับ)
ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วที่นี่อาจจะเป็นศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ จากหลักฐานพบว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงสมัยเฮอันด้วยสถาปัตยกรรมแบบนากาเระสุคุริ (Nakare-zukuri) ครับ
ใกล้กับศาลเจ้าอุจิกามิมีศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งชื่อศาลเจ้าอุจิ (Uji Shrine) ศาลเจ้าทั้งสองเคยเป็นศาลเจ้าแห่งเดียวกัน แต่ถูกแยกออกมาในสมัยเมจิครับ
3. วัดโคโชจิ
วัดโคโชจิ (Koshoji Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอุจิ ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วนั้น วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่เมืองเกียวโต แต่ถูกย้ายมาที่นี่ในสมัยเอโดะครับ ตัววัดเป็นวัดเซนและมีประตูซากุระซึ่งเป็นประตูแบบจีนตั้งอยู่ครับ
จุดเด่นของที่นี่คือมีสวนที่สวยมาก ทำให้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมมาก คุณจะได้ชมต้นเมเปิ้ลสีแดงเรียงรายกันตั้งแต่บริเวณทางเข้าวัดจากแม่น้ำ (“โคโตซากะ”) เลยครับ
4. วัดมิมุโระโทจิ
วัดมิมุโระโทจิ (Mimurotoji Temple) เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 8 แต่สิ่งที่ทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงคือสวนดอกไม้ที่สวยงดงามแทบจะทุกฤดู คุณจะได้ชมดอก azalea เบ่งบานในเดือนพฤษภาคม ดอก hydrangea ในช่วงมิถุนายน เช่นเดียวกับซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงครับ
ด้านในวัดประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ เช่นเดียวกับพระพุทธรูปของพระอมิตาภพุทธเจ้า และเจดีย์สามชั้นสีส้ม แต่สิ่งที่ชาวญี่ปุ่นสายมูชอบมาทำก็คือไปแตะก้อนหินในปากของรูปปั้นวัว โดยมีความเชื่อว่าจะได้สมหวังทุกประการในสิ่งที่ทำ
สำหรับใครที่เคยอ่านเรื่อง The Tale of Genji มา ที่นี่จะมีรูปปั้นของอุคิฟุเนะ (Ukifune) ตัวละครสำคัญฝ่ายหญิงในวรรณกรรมตั้งอยู่ด้วยครับ
5. วัดมันปุคุจิ
วัดมันปุคุจิ (Manpukuji Temple) เป็นวัดหลักของนิกายโอบาคุชุซึ่งเป็นนิกายย่อยของนิกายเซนอีกทีหนึ่ง ตัววัดนั้นสร้างขึ้นด้วยศิลปะจีนเป็นหลัก ทำให้ละม้ายคล้ายกับวัดจีนมากกว่าวัดญี่ปุ่นครับ
ด้านในมีอาคารหลายแห่งที่ประดิษฐานพระพุทธรูปตั้งอยู่ แต่องค์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือองค์พระโฮเตอิ (Hotei) หรือบูได (Budai) ซึ่งเป็นพระรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์คล้ายกับพระสังกัจจายน์ที่คนไทยนับถือ แต่ชาวญี่ปุ่น จีน และเกาหลีถือว่าโฮเตอิเป็นปางหนึ่งของพระเมตไตรยพุทธเจ้า ที่จะมาตรัสรู้หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะครับ
ปัจจุบันวัดแห่งนี้ยังมีภิกษุมากมายที่ยังคงยึดถือพระธรรมวินัยแบบดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด ซึ่งคุณสามารถสัมผัสได้ระหว่างที่ไปเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ครับ
6. ชิมชาอุจิ
อุจิเป็นเมืองแห่งชาที่มีชื่อเสียงมาหลายศตวรรษ เพราะฉะนั้นการเดินทางไปยังเมืองแห่งนี้ไม่มีทางครบถ้วน ถ้าคุณไม่ได้ชิมชาเขียวอันสุดยอดของที่นี่ ซึ่งมีหลายจุดให้คุณไปลองชิมได้ครับ ไม่ว่าจะเป็น
Tsuen – โรงชาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นและโลก โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 (แต่หลังปัจจุบันสร้างใหม่ในปี ค.ศ.1672 ) และดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องด้วยตระกูลเดียวมาถึง 24 ชั่วคน ทำให้เป็นบริษัทที่เก่าแก่เป็นลำดับที่ 30 ของโลกครับ ในอดีต บุคคลสำคัญอย่างฮิเดโยชิ และโตกุกาวะ อิเอยาสึก็เคยมาชิมชาของที่นี่ครับ
Taihoen – โรงชาของเมืองที่เปิดให้นักเดินทางได้สัมผัสประเพณีชงชาแบบญี่ปุ่นของแท้ หรือแม้กระทั่งเรียนชงชาจากผู้เชี่ยวชาญก็ได้เช่นกันครับ
7. ชมวิวแม่น้ำอุจิ
แม่น้ำอุจิเป็นแม่น้ำที่มีทัศนียภาพที่สวยงามเลื่องลือมาตั้งแต่อดีตกาล ดังนั้นนักท่องเที่ยวมากมายจึงนิยมมาชมวิวกัน โดยเฉพาะที่สะพานอุจิ (Uji Bridge) ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี และปรากฏในวรรณกรรม The Tale of Genji หลายครั้งด้วยกันครับ
อย่างไรก็ดีการล่องเรือก็ได้รับความนิยมเช่นกัน และมีให้ล่องทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน การล่องช่วงกลางวันจะเป็นการชมวิวสวยๆ ของสองฝั่งแม่น้ำ โดยช่วงที่สวยเป็นพิเศษคือช่วงที่ดอกซากุระเบ่งบานครับ
ส่วนการล่องช่วงกลางคืนจะเป็นการชมการตกปลาแบบโบราณด้วยเทคนิคที่เรียกว่าอุไค (Ukai) แบบเดียวกับที่กิฟุครับ ซึ่งแบบหลังนั้นจะมีให้ชมเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนเท่านั้นครับ
8. พิพิธภัณฑ์เกนจิโมโนกาตาริ
พิพิธภัณฑ์เกนจิโมโนกาตาริ (The Tale of Genji Museum) เป็น a must สำหรับใครที่เคยอ่านและหลงรักวรรณกรรมญี่ปุ่นเรื่องนี้ของมุราซากิ ชิกิบุ (Murasaki Shikibu)
ด้านในพิพิธภัณฑ์จำลองซีนในวรรณกรรม ไปจนถึงแสดงสภาพสังคม สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ไปจนถึงเครื่องแต่งกายในช่วงเวลาดังกล่าวให้ผู้เข้าชมได้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นครับ
References
- Kyoto Uji Kankou
- Byodo-in Official Site
- Tsuen Official Site