อุสึโนะมิยะ (Utsunomiya, 宇都宮) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโทชิงิ และเป็นปากทางสู่เมืองสวยอื่นๆ หลายแห่งในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นนิกโก้, นาสุ หรือ อาชิคางะครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองอุสึโนะมิยะอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับถัดมาครับ
รู้จักเมืองอุสึโนะมิยะ (Utsunomiya)
อุสึโนะมิยะ (Utsunomiya) เป็นเมืองโบราณที่มีผู้คนอยู่อาศัยมาอย่างต่ำสองพันปีแล้ว เห็นได้จากหลุมฝังศพโบราณที่พบหลายแห่งในบริเวณเมืองครับ
ศูนย์กลางของเมืองมาตั้งแต่อดีตคือศาลเจ้าอุสึโนะมิยะ ฟุตะระยามะ (Utsunomiya Futarayama Shrine) ซึ่งว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 4 เรียกได้ว่าเก่าแก่เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้ครับ ตัวเมืองได้ขยายใหญ่โดยรอบศาลเจ้าแห่งนี้ครับ
ในช่วงยุคเฮอันถึงเซ็นโกกุเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น เมืองอุสึโนะมิยะได้อยู่ในการปกครองของตระกูลอุสึโนะมิยะ ผู้ชยายปราสาทอุสึโนะมิยะให้เป็นปราสาทอันดับต้นๆ ในภูมิภาค และได้ป้องกันการรุกรานของตระกูลโฮโจอยู่หลายครั้งครับ
ตระกูลอุสึโนะมิยะหมดอำนาจเพราะคำสั่งของฮิเดโยชิในช่วงปี ค.ศ.1597 ต่อมาในสมัยเอโดะ รัฐบาลโชกุนโตกุกาวะได้ให้หลายตระกูลไดเมียวสลับกันมาปกครอง ต่างจากเมืองหลักอื่นๆ อย่างเช่นเซนไดที่ปกครองโดยตระกูลดาเตะอย่างยาวนานครับ (ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะอุสึโนะมิยะใกล้เอโดะ หรือ โตเกียวในปัจจุบันก็เป็นไปได้)
ช่วงปลายยุคเอโดะเป็นช่วงที่ตัวเมืองเข้าไปพัวพันกับสงครามกลางเมือง เพราะกองทัพของรัฐบาลใหม่ได้ป้องกันการโจมตีของกองทัพของรัฐบาลโชกุนที่ปราสาทอุสึโนะมิยะ แม้ว่ากองทัพรัฐบาลใหม่ได้รับชัยชนะ แต่สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในปราสาทโบราณแห่งนี้ก็พังราบเป็นหน้ากลองครับ
ในช่วงยุคเมจิ อุสึโนะมิยะได้กลายเป็นเมืองเอกของภูมิภาค โดยมีจำนวนประชากรเป็นรองแค่โตเกียวและโยโกฮาม่าเท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงสงคราม อุสึโนะมิยะจะโดนทิ้งระเบิดจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ชาวเมืองได้ช่วยกันฟื้นฟูตัวเมืองให้กลับมาเหมือนเดิมช่วงหลังสงคราม ในปัจจุบันอุสึโนะมิยะเป็นศูนย์กลางการต้า เศรษฐกิจ คมนาคม และอุตสาหกรรมของจังหวัดโทชิงิครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองอุสึโนะมิยะ (Utsunomiya) ทำอย่างไร?
อุสึโนะมิยะอยู่ใกล้กับโตเกียวมาก โดยคุณสามารถเดินไปได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ครับ
ชินคันเซน – วิธีที่เร็วและสะดวกสบายที่สุด Tohoku Shinkansen (ขบวน Yamabiko หรือ Nasuno แต่ Yamabiko จะเร็วกว่าเพราะไม่แวะสถานีย่อย) จะนำคุณไปถึงเมืองอุสึโนะมิยะได้ภายในเวลา 50 นาทีเท่านั้น
ถ้าคุณไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ที่ Tohoku Shinkansen ผ่าน อย่างเช่นโมริโอกะ หรือ โคริยามะ คุณสามารถนั่งมายังเมืองอุสึโนะมิยะได้เช่นกันครับ
รถไฟ – นอกเหนือจากชินคันเซนแล้ว คุณสามารถนั่งรถไฟ JR ธรรมดา (อย่างเช่น Syonan Shinjuku Line) จากโตเกียวไปยังอุสึโนะมิยะได้เช่นกัน ข้อดีคือถูกกว่าชินคันเซนเกินครึ่ง (กรณีที่คุณไม่ได้ซื่อ Japan Rail Pass) แต่ใช้เวลาเป็น 2.5 เท่าของชินคันเซนครับ
รถบัส – Kanto Bus มีบริการรถบัสจากสนามบินฮาเนดะและโตเกียวไปยังอุสึโนะมิยะโดยตรง ราคาจะถูกกว่าชินคันเซน แต่ใช้เวลามากกว่ามากครับ
เช่ารถขับ – สำหรับใครที่อยากสำรวจด้วยญี่ปุ่นด้วยตัวคุณเอง การเช่ารถขับถือว่าน่าสนใจทีเดียว เพราะจะตัดปัญหาเรื่องการเดินทางในเมืองไปโดยปริยายครับ และทำให้การเดินทางไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างนาสุ และอาชิคางะง่ายขึ้นด้วย
ข้อมูลส่วนนี้ผมอ้างอิงจาก Discover Utsunomiya เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวอุสึโนะมิยะ ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ตรวจสอบที่ต้นทางก่อนออกเดินทาง เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ครับ
การสัญจรในเมืองอุสึโนะมิยะทำอย่างไร
ขนส่งสาธารณะหลักของเมืองนี้คือรถบัสครับ ซึ่งคุณสามารถใช้เดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวได้แทบทุกแห่ง
อุสึโนะมิยะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และยังเป็น Hub สำหรับเดินทางไปเมืองอื่นๆ อีกหลายแห่ง ดังนั้นการพักที่นี่จึงน่าสนใจไม่น้อย หากว่าต้องการจะพักที่นี่ ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักอุสึโนะมิยะดีๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
1. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอยะ
ในอดีตอุสึโนะมิยะมีหินที่มีชื่อเสียงมาก หินที่ว่านี้เป็นหินภูเขาไฟที่มีความนุ่มละมุนแต่แข็งแรงนามว่าหินโอยะ (Oya Stone) ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ และทำถนนหนทาง
ที่มาของหินโอยะก็คือเหมืองใต้ดินแห่งนี้นี่เอง ซึ่งขุดเจาะและสกัดหินชั้นเลิศเหล่านี้มานานกว่า 1,000 ปี จนกระทั่งเหมืองได้ถูกปิดทำการและเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในช่วงปี ค.ศ.1986 ในนามพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอยะ (Oya History Museum) ครับ
ปัจจุบันคุณสามารถลงไปชมเหมืองใต้ดินแห่งนี้ได้ ซึ่งคุณเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเกลือคริสตัลที่เกิดจากน้ำที่ระเหยออกจากตัวหิน ไปจนถึงเสาหินที่สูงถึง 30 เมตร ที่เกิดจากการขุดเจาะมานับพันปีครับ
นอกจากนี้ด้านในยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์ขุดเจาะต่างๆ ซึ่งจะให้ความรู้ว่าครั้งหนึ่งเหล่าช่างฝีมือเหล่านี้ทำงานกันอย่างไร และมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรครับ
อย่างไรก็ดีด้านในพิพิธภัณฑ์จะหนาวกว่าด้านนอกมาก (ประมาณ 7 องศา) เพราะฉะนั้นต้องเตรียมเครื่องแต่งกายให้ดีก่อนเข้าไปครับ
ค่าเช้าชม: 800 เยน อ้างอิงจากเว็บทางการของพิพิธภัณฑ์
สำหรับสายลุยที่อยากได้กิจกรรมที่สนุกกว่าการเดินชมทั่วไป คุณสามารถเดินเทรคเข้าไปชมเหมืองส่วนที่ถูกร้างได้ รวมไปถึงพายเรือใต้เหมือง และตะลุยถ้ำ ถ้าสนใจสามารถติดต่อได้ที่ Ohya Underground ครับ
2. วัดโอยาจิ
วัดโอยาจิ (Ooyaji Temple) เป็นวัดที่สร้างขึ้นด้วยหินโอยะ โดยสร้างด้วยการแกะสลักเข้าไปในตัวภูเขา ตามหน้าประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าสร้างขึ้นโดยภิกษุผู้ก่อตั้งนิกายชินงน (Shingon) ชื่อคูไก (Kukai) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 9 ครับ
แต่ตามตำนานนั้นก็คือ พื้นที่บริเวณนี้มีงูร้ายที่ทำให้แหล่งน้ำใกล้เคียงเป็นพิษไปทั้งหมด รวมไปถึงฆ่าคนและสัตว์จำนวนมาก พระคูไกจึงเดินทางมาที่นี่และได้เข้าไปในหุบเขาที่งูร้ายนี้อาศัยอยู่
สิบวันต่อมาพระคูไกได้ออกมาจากหุบเขา และได้บอกชาวบ้านว่าได้จัดการกับงูตัวนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ชาวบ้านจึงพากันเข้าไปดูด้านในและพบว่ามีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากหินตั้งอยู่ ส่วนงูตัวนั้นก็ได้เป็นงูสีขาวที่ไม่ทำร้ายใครไปแล้ว
หลังจากนั้นเภทภัยจากงูก็ไม่กลับมาอีกเลย ด้วยความที่ซาบซึ้งในความเมตตาของพระคูไก พวกเขาจึงสร้างวัดโอยาจิแห่งนี้ขึ้นที่หุบเขาแห่งนี้ครับ
ปัจจุบันรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่พระคูไกสร้างขึ้น (ตามตำนาน) ยังคงอยู่ในนามเซนจูคันนง (Senju Kannon) หรือ โอยะคันนง (Ooya Kannon) และเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธญี่ปุ่นมาทุกยุคทุกสมัย พวกเขานิยมมาที่นี่เพื่อขอพรให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุขครับ
อย่างไรก็ดีนักโบราณคดีญี่ปุ่นได้พบว่าการสร้างองค์พระคล้ายคลึงกับพระใหญ่บามิยันที่อัฟกานิสถาน ดังนั้นผู้สร้างน่าจะเป็นชาวเอเชียกลางครับ
นอกจากองค์พระใหญ่แล้ว ใกล้ๆ ยังมีพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในชั้นหินอีก 9 องค์ ซึ่งมีความสวยงามและประณีตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติโดยรัฐบาลญี่ปุ่นครับ
3. เฮอิวะคันนง
ใกล้กับวัดโอยาจิมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ชื่อ Heiwa Kannon ที่สร้างขึ้นจากหินประดิษฐานอยู่
องค์พระสูงถึง 27 เมตรด้วยกัน โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1948 เพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และอ้อนวอนให้เกิดความสงบสุขขึ้นในโลกใบนี้ครับ
4. ฟาร์มวากายามะ
ฟาร์มวากายามะ (Wakayama Farm) ไม่ใช่ฟาร์มที่เป็นพิ้นที่โล่งแบบทั่วไป แต่จริงๆ แล้วที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องป่าไผ่ที่มีการปลูกและดูแลรักษาอย่างดีโดยครอบครัววากายามะมาถึงสามชั่วคน ความสวยของป่าไม้ที่นี่ไม่ได้ด้อยกว่าที่เกียวโตเลยครับ
นอกจากการชมช่วงกลางวันแล้ว คุณยังสามารถชมป่าไผ่ช่วงกลางคืนได้ ( เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการเท่านั้น) โดยจะมีการเปิดไฟให้ความสว่าง ทำให้ผืนป่ามีความสวยงามมากครับ
ค่าเข้าชม: 750 เยน (ช่วงกลางวัน), 1500 เยน (ช่วงกลางคืน) อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการของฟาร์มวากายามะ
5. ศาลเจ้าอุสึโนะมิยะ ฟุตะระยามะ
ศาลเจ้าอุสึโนะมิยะ ฟุตะระซัง (Utsunomiya Futarayama Shrine) เป็นสถานที่ซึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเมืองอุสึโนะมิยะ และน่าจะเป็นที่มาของชื่อเมืองแห่งนี้ด้วย ตระกูลอุสึโนะมิยะที่เคยปกครองเมืองล้วนแต่เคยเป็นผู้ปกครอง (คันนุชิ) ของศาลเจ้าแห่งนี้ครับ
ตำนานที่เกี่ยวข้องกับศาลเจ้านี้มีอยู่มากมาย เชื่อกันว่าศาลเจ้านี้สร้างขึ้นเพื่อสักการะเจ้าชายโทโยคิอิริฮิโกะที่เก่งกาจด้านการศึก ดังนั้นตำนานของที่นี่จึงเกี่ยวข้องกับการรบทัพจับศึกเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นแม่ทัพอย่างฟุจิวาระ ฮิเดซาโตะมีชัยเหนือศัตรูได้ก็เพราะได้ดาบวิเศษจากที่นี่เป็นต้น
ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ ศาลเจ้าอุสึโนะมิยะ ฟุตะระซังจึงมีเหล่านักรบเดินทางมาเคารพสักการะและบูชา รวมไปถึงมอบทรัพย์สินเพื่อทำนุบำรุงสถานที่มากมายครับ
ปัจจุบันคุณยังสามารถเข้าไปชมในศาลเจ้าได้ ซึ่งยังหลงเหลืออาคารแบบญี่ปุ่นที่สวยงามอยู่หลายหลัง และประตูโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่ครับ แต่แน่นอนว่าของเดิมนั้นพังทลายไปเพราะไฟไหม้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
6. วัดเซ็นกันจิ
วัดเซ็นกันจิ (Zengan-ji) เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุสึโนะมิยะ วัดแห่งนี้เป็นวัดอันเงียบสงบที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเท่าใดนัก แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจพอสมควร อย่างพระพุทธรูปนั่งที่สูง 3.5 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นด้วยทองแดงตั้งแต่ปี ค.ศ.1735 และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ครับ
7. สวนฮาจิมันยามะ
สวนฮาจิมันยามะ (Hachimanyama Park) เป็นสวนสาธารณะที่มีต้นซากุระกว่า 800 ต้นและ azalea กว่า 700 ต้น ในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น ที่นี่จึงเป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีหอคอยอุสึโนะมิยะ (Utsunomiya Tower) ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองได้อีกด้วยครับ
8. โบสถ์มัตสึกามิเนะ
โบสถ์มัตสึกามิเนะ (Matsugamine Church) เป็นโบสถ์คาทอลิกขนาดใหญ่ที่สร้างในสไตล์ Romanesque ทั้งนี้จุดเด่นของโบสถ์นี้คือสร้างขึ้นและประดับประดาด้วยหินโอยะอันล้ำค่าจำนวนมากของอุสึโนะมิยะ ทำให้มีความสวยงาม และให้บรรยากาศที่ต่างจากโบสถ์สไตล์เดียวกันในยุโรปครับ
8. สวนผลไม้โคกาชิ
สวนผลไม้โคกาชิ (Kogashi Fruit Park) เป็นสวนที่อยู่นอกเมืองอุสึโนะมิยะออกไปเล็กน้อย โดยมีผลไม้หลักๆ อยู่สามชนิด นั่นคือลูกแพร์ แอปเปิ้ล และองุ่น ซึ่งคุณสามารถเก็บและซื้อกลับไปได้ในราคาย่อมเยาครับ
อย่างไรก็ดีเทศกาลเก็บเกี่ยวจะอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมของทุกปีเท่านั้นครับ
9. สวนปราสาทอุสึโนะมิยะ
สวนปราสาทอุสึโนะมิยะ (Utsunomiya Castle Ruins Park) เป็นพื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทอุสึโนะมิยะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดเขตคันโต แต่ด้วยไฟสงครามหลายต่อหลายครั้งได้ทำลายตัวปราสาทอันเก่าแก่เสียจนหมด
อย่างไรก็ดีในยุคหลังได้มีการสร้างอาคารบางส่วนของปราสาทอุสึโนะมิยะขึ้นมาใหม่ แต่พื้นที่เดิมของกลายเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ซึ่งเล่าประวัติความเป็นมาของตัวเมืองและปราสาทแห่งนี้ครับ
10. โอริออนโดริ
โอริออนโดริ (Orion Dori) เป็นย่านช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมในเมืองอุสึโนะมิยะ
นอกจากร้านค้าต่างๆ แล้ว บริเวณนี้ยังมีร้านอาหารหลากหลาย ซึ่งคุณสามารถมาลองชิมอาหารอร่อยๆ ของเมืองได้ครับ แน่นอนว่ารวมไปถึงเมนูยอดนิยมอย่างเกี๊ยวซ่าด้วย
11. ชิมเกี๊ยวซ่า
ด้วยจำนวนร้านที่มีมากถึง 300 ร้าน และการบริโภคที่เป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ทำให้อุสึโนะมิยะเป็นเมืองแห่งเกี๊ยวซ่าครับ ซึ่งสูตรเกี๊ยวซ่าของที่นี่มีหลากหลายรูปแบบกว่าที่อื่น ซึ่งคุณสามารถหาทานได้ที่ถนนเกี๊ยวซ่า (Gyoza Street) ที่เป็นอีกชื่อหนึ่งของถนนมินาจิมาโช-โดริ (Minajimacho-dori) ครับ
ร้านที่น่าสนใจมีมากมาย อาทิเช่น
- Kirasse Honten – ศูนย์รวมร้านเกี๊ยวซ่าที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง
- Utsunomiya Minmin Honten
- Aogen
- Menmen
- Gyoza no An
นอกจากนี้ช่วงเดือนพฤศจิกายน เมืองอุสึโนมิยะจะมีเทศกาล Gyoza Festival ที่สมาคมเกี๊ยวซ่าของเมืองจะจัดงานขายเกี๊ยวซ่าราคาถูก ให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้ชิมกัน ถ้าไปเที่ยวเมืองนี้ในช่วงนั้นแน่นอนว่าไม่ควรพลาดครับ
References
- Discover Utsunomiya
- Visit Tochigi
- Oya History Museum Official Site
- Ooyaji Temple Official Site
- Wakayama Farm
- Kogashi Fruit Park Official Site