เวนิส (Venice) หรือ Venezia ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี โดยมีลักษณะเป็นเกาะห่างจากแผ่นดินใหญ่ไม่ไกลนัก
ตัวเมืองนั้นมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดโรแมนติกในฐานะไฮไลท์แห่งหนึ่ง ความสวยงามของเวนิสเป็นที่เลื่องลือ ทำให้เมืองทั่วโลกจำนวนมากมายมักจะเปรียบตัวเองว่าเป็น “เวนิส” ยกตัวอย่างเช่น “เวนิสแห่งตะวันออก”นั้นก็มีหลายสิบแห่งแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือกรุงเทพมหานครของเรานี่เองครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเวนิสอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links อยู่ นั่นแปลว่าผมอาจจะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการ ถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเวนิส (Venice)
สภาพภูมิประเทศของเวนิสนั้นเป็นเกาะ ทว่าไม่ใช่เกาะใหญ่แห่งเดียว แต่เป็นเกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหมด 126 เกาะในทะเลเอเดรียติกที่เชื่อมกันด้วยสะพานมากมายเกินกว่า 400 แห่ง ตัวเมืองนั้นเชื่อมกับส่วนแผ่นดินใหญ่หรือเมสเตร (Mestre) ด้วยสะพาน Ponte della Libertà ครับ
ความเป็นมาของการก่อตั้งเมืองเวนิสนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นช่วงปลายยุคจักรวรรดิโรมันที่พวกอนารยชนรุกรามาจากทางตอนเหนือ ทำให้ชาวโรมันจากเมืองโดยรอบหนีมาหลบภัยที่นี่ ซึ่งพวกอนารยชนนั้นไม่มีกองทัพเรือ เพราะฉะนั้นไม่สามารถข้ามน้ำมาได้ ช่วยให้พวกเขาได้รับความปลอดภัยครับ
หลังจากที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ตีชิงดินแดนอิตาลีกลับคืนจากอนารยชนได้เป็นผลสำเร็จในช่วงศตวรรษที่ 6 เวนิสได้อยู่ในการปกครองจากเมืองราเวนนา เมืองเอกและท่าเรือสำคัญในเวลานั้น แต่ว่าด้วยความที่เวนิสเป็นเกาะ ทำให้ผู้ปกครองจากราเวนนายากที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ ชาวเวนิสจึงมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้นตามลำดับ
จนสุดท้ายก็เลือกประมุขของตนเองหรือดอด์จ (Doge) เป็นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 7 แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังอยู่ภายใต้จักรพรรดิไบแซนไทน์ที่คอนแสตนติโนเปิล (อิสตันบูล) ครับ
ช่วงศตวรรษที่ 8 ชาว Lombard ได้พิชิตดินแดนตอนเหนือและตอนกลางของอิตาลีจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ทั้งหมด ยกเว้นแต่เมืองเวนิสเท่านั้น ในช่วงนี้ผู้นำของเมืองได้เสริมตัวเมืองให้แข็งแกร่งมากขึ้น มีการสร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเปลี่ยนให้เวนิสเป็นป้อมปราการที่ยากต่อการเข้าโจมตี
ต่อมาจักรพรรดิ Charlemagne ปรารถนาจะได้เมืองเวนิสไว้ในการปกครองของพระองค์ เพราะฉะนั้นจึงมีบัญชาให้กองทัพเข้าโจมตี ซึ่งผ่านไปถึงหกเดือน พระองค์ก็ยังตีเวนิสไม่ได้ แถมยังเสียโอรสไปเพราะโรคระบาดอีกด้วย จนสุดท้ายพระองค์ต้องยินยอมให้เวนิสอยู่การปกครอง (แต่ในนาม) จากอาณาจักรไบแซนไทน์ต่อไป
อย่างไรก็ดีต่อมาจักรวรรดิไบแซนไทน์อ่อนแอลงมากจากการรุกรานของชาวมุสลิม และไม่อาจจะบังคับบัญชาเมืองที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้ได้อีกต่อไป เวนิสจึงได้รับอิสรภาพและเปลี่ยนเป็นสถานะเป็นสาธารณรัฐที่ปกครองตนเองนามว่าสาธารณรัฐเวนิส (Venice)
ในช่วงศตวรรษที่ 9-12 ชาวเวนิสได้เสริมสร้างกองทัพเรืออย่างแข็งแกร่ง และได้กวาดล้างโจรสลัดในเส้นทางการค้าขายจนหมดสิ้น เวนิสจึงกลายเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งอันดับต้นๆ ของยุโรปในเวลานั้น
เวนิสได้อาศัยความที่เป็นคนกลางในการค้าขายทำกำไรอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นักรบครูเสดได้ปล้นสะดมกรุงคอนแสตนติโนเปิลในปี ค.ศ.1204 ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์อ่อนแออย่างไม่มีวันย้อนกลับ และเวนิสแทบจะผูกขาดการค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ ครับ
ความมั่งคั่งดังกล่าวได้ทำให้ตัวเมืองรุ่งโรจน์เป็นอันดับ 1 ในยุโรปในศตวรรษดังกล่าว แถมยังทำให้เวนิสมีอาณานิคมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นกรีซตอนใต้ เกาะครีต และไซปรัสอีกด้วย
ศตวรรษที่ 15-16 เป็นช่วงที่นครรัฐอื่นๆ ในอิตาลีเฟื่องฟู แต่เป็นช่วงที่เวนิสพบกับความเสื่อมถอย ส่วนหนึ่งเพราะเวนิสต้องสิ้นเปลืองกำลังในการต่อสู้กับจักรวรรดิออตโตมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกในปี ค.ศ.1453 แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่านั้นคือ ศูนย์กลางการค้านั้นเริ่มย้ายจากในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังที่มหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากที่ชาติอย่างโปรตุเกสและสเปนได้ล่าอาณานิคม และได้เส้นทางใหม่ในการไปสู่อินเดียครับ
ในปี ค.ศ.1797 ชาวเวนิสได้สูญสิ้นอิสรภาพ เพราะนโปเลียนยึดครองเมืองได้สำเร็จ หลังที่นโปเลียนพ่ายแพ้ ตัวเมืองก็ถูกส่งต่อให้กับออสเตรีย ชาวเวนิสต้องรอไปอีกหลายทศวรรษ จนสุดท้ายก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีที่ก่อตั้งใหม่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ครับ
เวนิสเป็นไม่กี่เมืองในอิตาลีที่ไม่ได้รับความเสียหายเลยจากสงครามโลกครั้งที่สอง (ต่างจากมิลานและฟลอเรนซ์ที่เสียหายค่อนข้างหนัก) หลังจากนั้นเวนิสก็ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักเดินทางไปเยือนหลายล้านคนในทุกปี และได้เป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโกด้วย แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น นั่นคือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากนักท่องเที่ยวมากเกินไป เช่นเดียวกับปัญหาน้ำท่วมครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเวนิส (Venice) ทำอย่างไร?
วิธีการเดินทางไปเวนิสจากเมืองใหญ่ของอิตาลีที่ง่ายดายที่สุดคือทางรถไฟหรือรถบัส ทั้งนี้รถไฟจะเป็นตัวเลือกที่ราคาสูงกว่า แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่า และสะดวกสบายกว่าครับ การจองตั๋วนั้นสามารถทำได้ผ่าน Omio หรือ Klook ครับ
อย่างไรก็ดีเวลาจองนั้นโปรดตรวจสอบดูให้ดีว่า ตั๋วที่คุณจองนั้นไปถึงสถานี Venice Mestre ที่อยู่ที่เมสเตร (แผ่นดินใหญ่) หรือว่า Venice Santa Lucia (อยู่บนเกาะ) ครับ
หลังจากที่ไปถึงแล้ว คุณจะต้องนั่ง waterbus เดินทางเข้าตัวเมืองเวนิสครับ
Venice Access Fee ต้องจ่ายหรือไม่
ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวช่วง Peak Season ที่เดินทางเข้าเวนิสช่วงกลางวัน และไม่ได้พักค้างคืนในเมือง จะต้องเสียค่าใช้จ่าย 5 ยูโร (Access Fee) ให้กับทางเมืองเวนิส สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จาก Venezia Unica เว็บไซต์ทางการของเมืองเวนิสครับ
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับค่าเข้าชม ซึ่งคุณจะต้องจ่ายแยกเป็นรายสถานที่ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด ค่านี้คือค่าใช้จ่ายในการเหยียบเมืองเวนิสก็ว่าได้ ทั้งนี้ทางเมืองใช้นโยบายนี้เพื่อแก้ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปครับ
การสัญจรในเวนิสทำอย่างไร?
โดยส่วนมากแล้วคุณจะพึ่งเรือ waterbus เป็นหลัก ซึ่งมีเส้นทางเดินเรือแทบจะรอบเมือง ทำให้คุณเดินทางไปส่วนต่างๆ ของเมืองได้ไม่ยาก นอกจากนี้บางแห่งนั้นคุณสามารถนั่งรถบัสไปได้เช่นกันครับ
Venice City Pass
สำหรับใครที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการเข้าชมสถานที่ต่างๆ คุณสามารถซื้อ Venice City Pass ได้ ซึ่งจะครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวระดับแลนด์มาร์กแทบทั้งหมดในเมือง เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ 11 แห่ง และโบสถ์อีก 16 แห่ง รวมไปถึงการใช้บริการขนส่งมวลชนอย่างเรือ (waterbus) และรถบัส ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาทต่อ 1 วัน และราคาต่อวันจะถูกลง ถ้าคุณซื้อมากขึ้นครับ
สำหรับใครที่รักประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือว่าวัฒนธรรมโดยรวม ผมแนะนำอย่างยิ่งให้คุณซื้อทัวร์เข้าชมครับ เพราะบางจุดในสถานที่ท่องเที่ยวจะเปิดให้กับทัวร์ได้ชมเท่านั้น นอกจากนี้คุณยังจะได้ฟังคำอธิบายจากไกด์ด้วย ทำให้คุณได้ทราบเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจอย่างมากเลยครับ
1. Canal Grande
Canale Grande หรือ Canalazzo หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Grand Canal เป็นคลองขนาดใหญ่ยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตรที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวนิส ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของเมือง เพราะคลองได้แบ่งเวนิสออกเป็นสองส่วน ในอดีตกาลนั้นคลองนี้ไม่มีสะพานข้าม (หรือในช่วงที่มีก็มีแค่สะพานไม้เท่านั้น) เพราะว่าประชากรในเมืองนั้นล้วนแต่ใช้เรือสัญจรเป็นหลักครับ
อย่างไรก็ดีในศตวรรษที่ 16 ได้มีการสร้างสะพานขึ้นชื่อ Rialto Bridge (Ponte di Rialto) และเป็นสะพานข้ามคลองแห่งนี้เพียงแห่งเดียวมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งมีการสร้างสะพานใหม่ขึ้นในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ครับ
จุดนี้เป็นจุดชมวิวตัวคลองที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะความสง่างามและงดงามเอกลักษณ์ของตัวสะพาน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับสถานที่อื่นๆ ในโลกจำนวนมาก และเพราะจากจุดนี้คุณจะเห็นตัวคลองได้แบบพาโนรามาครับ
สองฝั่งของคลองนั้นมีวังเก่าของชนชั้นสูงของเมืองในอดีตตั้งเรียงรายกันไป โดยถ้าคุณเดินไล่ชมไปตามสองฝั่งคลอง คุณจะเห็นอาคารเหล่านี้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic แบบของเวนิส เช่นเดียวกับ Renaissance อย่างสวยงามมาก นี่เป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้นักเดินทางมากมายเดินทางมาเที่ยวที่นี่ครับ
ไม่เพียงเท่านั้นปัจจุบันสองฝั่งของ Canal Grande นั้นเป็นย่านการค้าที่คับคั่ง โดยเฉพาะที่สะพาน Rialto Bridge ที่มีร้านอาหารมากมาย เช่นเดียวกับร้านค้าอื่นๆ ที่ขายสินค้าพื้นเมืองครับ
2. ล่องเรือกอนโดลา
การล่องเรือกอนโดลา (Gondola) เป็นกิจกรรมสุดโปรดของนักเดินทางแทบทุกผู้ที่มาเยือนเวนิส โดยเฉพาะถ้าคุณไปนครแห่งนี้เป็นครั้งแรก เพราะยากที่จะมีประสบการณ์ใดที่จะให้คุณชมความสวยงามของเมืองแห่งนี้ได้ดีกว่าการนั่งเรือพายไปตามคูคลองและสายน้ำของเมืองอย่างสุดโรแมนติกครับ
สำหรับการล่องนั้นจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที แน่นอนว่าจะครอบคลุมสองฝั่งของ Canal Grande เป็นหลัก แต่คุณจะมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจคลองอันเป็นซอกซอยของตัวเมืองด้วย ซึ่งจะได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผืนน้ำ ต่างจากเมืองอื่นๆ ของอิตาลีครับ
ด้านค่าใช้จ่ายในการล่องจะอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,500 บาทต่อคน ทั้งนี้คุณสามารถจองบริการล่วงหน้าได้ที่นี่ครับ
3. Palazzo Ducale
Palazzo Ducale หรือ Doge’s Palace เป็นวังเก่าของประมุขของเวนิสในสมัยที่เวนิสเป็นนครที่ปกครองตนเองในช่วงยุคกลาง และรุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงศตวรรษที่ 14 เพราะฉะนั้นตัววังจึงสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Venetian Gothic อันยิ่งใหญ่หรูหราอลังการ โดยเฉพาะห้อง Sala del Collegio ที่เป็นห้องอันงดงามที่สุดในวังครับ
อีกหนึ่งเสน่ห์ของที่นี่ที่คุณไม่อาจมองข้ามไปได้คือผลงานศิลปะทั้งหลาย อย่างแรกคือภาพเขียนสีที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของอิตาลีแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะภาพ Il Paradiso ของ Tintoretto ที่เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยตั้งตระหง่านอยู่ที่ Main Hall ของตัววังครับ อย่างที่สองบันไดทองคำอย่าง Scala d’Oro ที่เป็นทองคำอย่างหรูหราสวยงามยิ่ง
นอกจากนี้คุณยังสามารถสัมผัสกับวิถีชีวิตของประมุขของสาธารณรัฐเวนิสได้ที่นี่ โดยผ่านการชมห้องส่วนตัว ห้องครัว คลังอาวุธ สถานที่ว่าราชการ หรือแม้กระทั่งคุกที่ใช้คุมขังนักโทษครับ ทั้งนี้ถ้าคุณซื้อทัวร์เข้าไป คุณจะได้เดินผ่าน Bridge of Sighs สะพานให้นักโทษเดินจากคุกมืดเพื่อไปรับโทษทัณฑ์ครับ (ส่วนนี้ไม่เปิดให้นักเดินทางทั่วไปเข้าชม)
เนื่องด้วยที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเมือง นักท่องเที่ยวจึงจะมีจำนวนมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่อยากต่อคิว ผมแนะนำให้ซื้อบัตรล่วงหน้าแบบ Skip the Line ที่นี่ครับ
4. Basilica di San Marco
Basilica di San Marco หรือ St. Mark’s Basilica เป็นมหาวิหารที่ในอดีตเคยเป็นโบสถ์ส่วนตัวของประมุขของเมือง และเป็นสถานที่ที่ใช้เก็บรักษาอัฐิของนักบุญเซนต์มาร์ค ซึ่งเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ (patron saint) ของเมืองเวนิส โดยตัวโบสถ์ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของจัตุรัสเซนต์มาร์กครับ
รูปลักษณ์จากภายนอกของตัวมหาวิหารนั้นจะต่างจากมหาวิหารทั่วไปในอิตาลี สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการสร้างนั้นได้แบบมาจาก Church of the Holy Apostles ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้ว เพราะถูกออตโตมันรื้อถอนไปในช่วงศตวรรษที่ 15) เพราะฉะนั้นด้านสถาปัตยกรรมจะมีกลิ่นอายความเป็นไบแซนไทน์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
สำหรับด้านในนั้นจะตบแต่งด้วยโมเสกอย่างสวยงาม ซึ่งโมเสกเหล่านี้จะเห็นได้ชัดว่ามาจากต่างยุคต่างสมัยกันตาม timeline ของมหาวิหารที่สร้างขึ้นมาแล้วมากกว่า 900 ปีครับ โมเสกบางส่วนที่คุณจะได้ชมนั้นมีงานระดับ masterpiece ของ Titian และ Tintoretto อยู่ด้วยครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของมหาวิหารแห่งนี้คือแท่นทำพิธีทองคำหรือ Pala d’Oro ซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยงามและยิ่งใหญ่เป็นระดับท็อปของยุโรป เพราะประดับประดาด้วยอัญมณีและของมีค่ามากกว่าสองพันชิ้นครับ
ใกล้กับมหาวิหารนั้นมีหอระฆังชื่อ St Mark’s Campanile หรือ Campanile di San Marco ซึ่งในอดีตเคยเป็นหอเตือนภัยให้กับชาวเมืองเวนิสยามที่โจรสลัดหรือกองทัพศัตรูยกมาประชิดเมือง อย่างไรก็ดีหอแห่งเดิมนั้นพังทลายไปแล้วในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ครับ หอที่คุณเห็นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1912 ครับ
ปัจจุบันคุณสามารถขึ้นไปชมวิวบนหอนี้ได้ ซึ่งจะเห็นมุมสูงของเมืองเวนิสอย่างสวยมาก แต่สิ่งที่ต้องตระหนักคือ คนรอคิวขึ้นหอนั้นมีไม่น้อยเลยครับ ถ้าไม่อยากเสียเวลา ซื้อบัตรลัดคิวล่วงหน้าที่นี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ
5. Piazza San Marco
Piazza San Marco เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเวนิส และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทั้งหลาย รวมไปถึงเป็นจุดนัดพบของชาวเมืองมาทุกยุคทุกสมัย ด้านหนึ่งของจัตุรัสนั้นคือมหาวิหารเซนต์มาร์ค (St. Mark Basilica) และหอระฆัง St Mark’s Campanile อันยิ่งใหญ่ ส่วนโดยรอบก็เป็นอาคารบ้านเรือนที่ถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ตลอดจนคาเฟ่ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวครับ
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของจัตุรัสแห่งนี้คือ หอนาฬิกาเซนต์มาร์กหรือชื่อในภาษาอิตาเลียนว่า Torre dell’Orologio ซึ่งมีรูปปั้นคนสองคน (เรียกว่า Moors) ที่สร้างจากบรอนซ์และเป็นของเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันหอนี้ยังคงบอกเวลาให้กับชาวเมืองในทุกชั่วโมงครับ
6. Santa Maria della Salute
Santa Maria della Salute เป็นมหาวิหารริมน้ำที่อยู่คู่กับ Canal Grande เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอีกแห่งหนึ่ง และน่าจะปรากฏในรูปถ่ายมากกว่ามหาวิหารอย่าง St. Mark Basilica ด้วยซ้ำไปครับ
มหาวิหารแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมแบบ Venetian Baroque ทั้งนี้ตัวโบสถ์สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 หลังจากโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตประชาชนจำนวนมากได้ผ่านไป ชาวเมืองจึงสร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นเพื่อระลึกถึงพระคุณของพระแม่ Madonna ครับ
โครงสร้างด้านในของตัวมหาวิหารนั้นเป็นทรงหกเหลี่ยม แต่ละส่วนได้รับการตบแต่งด้วยพื้นโมเสกอันงดงามยิ่ง เช่นเดียวกับผลงานศิลปะของจิตรกรระดับปรมาจารย์ของเวนิสอยู่นั้น ที่นี่จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ใครที่ชอบผลงานสไตล์ baroque ไม่ควรพลาดไปชมครับ
7. Teatro La Fenice di Venezia
Teatro La Fenice di Venezia เป็นโรงละครใหญ่แห่งเมืองเวนิสที่มีชื่อเท่ๆ อย่าง La Fenice ซึ่งแปลว่านกฟีนิกซ์ ซึ่งประวัติของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ก็ไม่ได้ต่างจากชื่อ เพราะว่าโดนไฟไหม้ใหญ่ไปถึงสามครั้ง และก็มีการสร้างใหม่ทุกครั้ง ทำให้มีคนเปรียบว่าเหมือนนกฟีนิกซ์ที่ไหม้วอดวายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ครับ
ปัจจุบันที่นี่เป็นโรงละครโอเปร่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวนิสและอิตาลี ด้านในสร้างขึ้นด้วยสไตล์ Neoclassical ที่ยิ่งใหญ่สวยงาม และทุกยุคทุกสมัยได้จัดแสดงโอเปร่าระดับชั้นนำของประเทศอยู่โดยตลอดครับ
ทั้งนี้คุณสามารถซื้อบัตรเข้าไปชมความโอ่อ่าด้านในได้ เช่นเดียวกับชมโอเปร่าสักเรื่อง แต่ตั๋วนั้นหาไม่ง่ายเลย เพราะชื่อเสียงโด่งดังของที่นี่ที่ทำให้นักเดินทางอยากมาชมการแสดงสักครั้งนั่นเอง
8. Santa Maria Gloriosa dei Frari
Santa Maria Gloriosa dei Frari เป็นมหาวิหารในเวนิสที่ถือว่าเป็นยอดมงกุฎของสถาปัตยกรรมแบบ Venetian Gothic โดยเป็นศาสนสถานของเหล่า Francisans ซึ่งเป็นองค์กรในคริสตจักรในช่วงยุคกลาง
ตัวโบสถ์ด้านนอกจะใช้อิฐสีแดงตัดกับหินสีขาว ส่วนด้านในจะจัดเรียงโครงสร้างเป็นรูปไม้กางเขนแบบละติน ซึ่งถ้าเปรียบกับมหาวิหารอื่นๆแล้วที่นี่จะดูเรียบง่ายกว่ามาก แต่ที่สิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือผลงานศิลปะทั้งภาพเขียนและรูปปั้น ก่อให้เกิดเป็นความเรียบที่ดูทรงพลัง และแสดงถึงพลังขององค์กรครับ
บริเวณด้านในโบสถ์มีสุสานที่เก็บร่างของผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายคน แต่สุสานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ สุสานทรงพีระมิดที่สร้างขึ้นจากหินอ่อน โดยอุทิศให้กับ Antonio Canova ช่างรูปปั้นผู้จากไปเพราะโรคระบาดในช่วงศตวรรษที่ 19
เกร็ดที่น่าสนใจก็คือ เดิมทีแล้วสุสานนี้ตัว Canova เป็นคนออกแบบเองเพื่อจะอุทิศให้กับ Titian ศิลปินผู้โด่งดังในสมัยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่เขากลับสิ้นชีวิตเสียก่อน ทำให้ลูกศิษย์ช่วยให้กันสร้างจนเสร็จ และอุทิศมันให้กับอาจารย์ของพวกเขาแทนครับ
9. ชมพิพิธภัณฑ์และงานศิลปะต่างๆ
ขึ้นชื่อว่าอิตาลีแล้วไม่เคยขาดงานศิลปะ ทั้งนี้คุณสามารถไปชมได้เพิ่มเติมที่สถานที่ต่อไปนี้ในเมืองครับ
- Scuola Grande di San Rocco – อาคารที่รวบรวมผลงานที่เป็นสุดยอดของ Tintoretto เพราะเขาเป็นผู้ลงมือวาดภาพเขียนสีในอาคารแทบทั้งหมด และถือว่าเป็น masterpiece เพราะฉะนั้นใครชอบชมผลงานสไตล์ของเขา ไม่ควรพลาดทุกประการครับ
- Ca’ d’Oro – พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีด้านหน้าที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนสุดสวยสไตล์ Venetian Gothic อันเป็นผลงานของ Bartolomeo Bon ปัจจุบันด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงงานสมัยศตวรรษที่ 15-16 เช่นเดียวกับให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชนชั้นสูงเวนิสในเวลานั้นครับ
- Collezione Peggy Guggenheim – พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในวังสมัยศตวรรษที่ 18 ที่ตั้งอยู่ริม Canal Grande ด้านในจัดแสดงงานศิลปะที่เป็นของเก็บสะสมของ Peggy Guggenheim เศรษฐีนีชาวอเมริกันที่อาศัยเวนิสเป็นบ้านกว่า 3 ทศวรรษ ผลงานส่วนมากจะเป็นงานสมัยศตวรรษที่ 19-20 อย่างเช่นงานของ Kardinsky และ Picasso ครับ
- Gallerie dell’Accademia di Venezia– พิพิธภัณฑ์ Fine Arts ของเวนิสที่เก็บผลงานสมัยศตวรรษที่ 15-18 เอาไว้มากมาย บางชิ้นนั้นมาจากโบสถ์โบราณ เช่นเดียวกับบ้านพักของชนชั้นสูงครับ ไฮไลท์ของที่นี่นั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นภาพ St. George โดย Andrea Mantegna
- Cà Rezzonico – พิพิธภัณฑ์ริมคลองที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ baroque เพราะฉะนั้นความสวยงาม หรูหรา อลังการจึงจัดเต็มสมกับที่ใช้เวลาสร้างหลายยุคหลายสมัย รวมแล้วประมาณ 1 ศตวรรษถึงจะสร้างเสร็จ ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของยุคสมัยศตวรรษที่ 18 ครับ และแน่นอนว่าภาพเขียนต่างๆ ก็มีให้ชมเช่นกัน
- Ca’ Pesaro – อาคารสีขาวทรงสวยที่มีพิพิธภัณฑ์ด้านในถึงสองแห่งด้วยกัน แห่งแรกคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะยุคโมเดิร์น (ศตวรรษที่ 19-20) และพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุจากทวีปเอเชียครับ
10. Venetian Arsenal
Venetian Arsenal เป็นอู่ต่อเรือเดิมของสาธารณรัฐเวนิส โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 ซึ่งกองเรือของเวนิสนั้นไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคแห่งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่นี่อยู่ในการรักษาความปลอดภัยขั้นขีดสุด เพื่อป้องกันไม่ให้ชาติอื่นหรือนครอื่นได้ล่วงรู้ความลับในการสร้างเรือที่แข็งแกร่งครับ
ด้านหน้าของอู่ต่อเรือแห่งนี้มีประตูโค้งแบบ Renaissance ที่มีรูปปั้นสิงโตสองตัวตั้งอยู่ ซึ่งสิงโตนี้กองเรือเวนิสได้มาจากกรีซ หลังจากได้รับชัยชนะในสงครามครับ ส่วนด้านในอู่ต่อเรือนั้นถูกแปลงสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของกองทัพเรือเวนิส และเทคโนโลยีการสร้างเรือในเวลาดังกล่าวครับ
11. ชมคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิค
ถ้าคุณเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Seasons Change ของ GTH คุณน่าจะคุ้นหูกับเพลง 4 ฤดู (The Four Seasons) ของ Antonio Vivaldi ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนหลักในการดำเนินเรื่อง ทั้งนี้ Vivaldi ผู้นี้เป็นนักดนตรีชาวเวนิสครับ และเป็นตั้งนักแต่งเพลงและนักไวโอลินมือฉมังแห่งยุคอีกด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันในเมืองเวนิสยังมีคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคที่เล่นผลงานของ Vivaldi ให้คุณได้ไปชมกันได้ที่ Vivaldi Church นอกจากนี้ราคายังไม่แพงอีกด้วย ถ้าสนใจ สามารถจองบัตรได้ที่นี่ครับ
12. Burano
Burano เป็นเกาะย่อยที่อยู่ใกล้กับเกาะใหญ่ของเวนิส โดยที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมงมาทุกยุคทุกสมัย แต่จุดเด่นก็คือ การมีอาคารสีสันฉูดฉาดเรียงรายไปกันตามริมคลอง โดยเฉพาะ Casa di Bepi Suà ที่มีสีหลากหลายมากที่สุด ซึ่งนักเดินทางนิยมมาถ่ายรูปกันที่นี่ครับ ถ้าคุณชอบบรรยากาศแบบสดใส ชิวๆ ที่นี่ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
อีกหนึ่งสิ่งซึ่งที่นี่มีชื่อเสียงคือวัฒนธรรมการถักลูกไม้ (Lace) ที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ โดยคุณสามารถไปเยือน Lace Museum เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมดังกล่าวได้ครับ
13. Murano
Murano เป็นอีกเกาะหนึ่งใกล้กับเกาะใหญ่ของเวนิส ในอดีตทางการเมืองได้ให้ช่างทำแก้วย้ายมาอาศัยเป็นชุมชนที่เกาะนี้ เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงเพลิงไหม้ ซี่งพวกเขาก็ได้พำนักอยู่ที่นี่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันครับ
ปัจจุบันตัวเกาะ Murano เป็นที่ตั้งของร้านขายแก้วจำนวนไม่น้อยที่เรียงรายริมน้ำ ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อแก้วคุณภาพดีกลับไปเป็นของฝากได้ แต่ถ้าจะซื้อต้องระมัดระวังให้ดี เพราะมีแก้วนำเข้าที่คุณภาพต่ำปะปนอยู่ด้วยเช่นกันครับ
ทั้งนี้คุณสามารถไปศึกษาขั้นตอนการทำแก้ว รวมไปถึงเห็นช่างฝีมือทำแก้วให้ชมได้ที่ Glass Museum ซึ่งที่แห่งนี้ยังเก็บแก้วชั้นยอดของเวนิสที่มีอายุหลายร้อยปีให้ชมด้วยครับ
ก่อนจะเดินทางกลับ ถ้าคุณยังมีเวลาเหลือ คุณอาจจะไปเยี่ยมเยือนโบสถ์ Santi Maria e Donato ซึ่งสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างเวนิสและไบแซนไทน์ และด้านในมีพื้นโมเสกที่สวยงามด้วยครับ
14. Torcello
Torcello นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเวนิส เพราะศูนย์กลางเมืองเคยตั้งอยู่ที่นี่ในช่วงยุคกลาง ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ในเกาะเวนิสในปัจจุบัน น่าเสียดายที่สิ่งก่อสร้างของเดิมบนเกาะเสียหายไปแทบทั้งหมด เหลือแต่เพียงอนุสรณ์ไม่กี่แห่งเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดีที่นี่ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนอยู่ อย่าง Santa Maria Assunta มหาวิหารสมัยศตวรรษที่ 7 ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมฟิวชั่นระหว่างเวนิสและไบแซนไทน์ ซึ่งหาชมได้ยาก ด้านในจะมีโมเสกสภาพสมบูรณ์ที่แสดงถึงวัฒนธรรมไบแซนไทน์ที่สอดแทรกเข้ามาในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดีครับ
15. ช้อปปิ้ง
ในแง่ของการช้อปปิ้งแล้วนั้น เวนิสสู้มิลานหรือฟลอเรนซ์ไม่ได้ แต่ก็มีหลายจุดที่น่าไปเดินช้อปได้แก่
- Calle larga XXII marzo – ถนนที่เต็มไปด้วยร้านเครื่องแต่งกายระดับ high-end รวมไปถึงร้านแบบ boutique store อีกจำนวนมากครับ
- Rialto Market – ตลาดที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานชื่อเดียวกัน โดยด้านในมีร้านค้าที่ขายอาหารพื้นเมืองคุณภาพเยี่ยมจำนวนมากครับ
16. รับประทานอาหาร
สำหรับคู่รักนั้น ผมแนะนำให้จองร้านอาหารริมน้ำที่เห็นวิวสวยๆ ของ Canal Grande ที่จะให้ประสบการณ์ดีๆ ไม่มีวันลืมให้กับคู่ของคุณไปตลอดนานเท่านานเลยครับ
ส่วนท่านอื่นๆ นั้น ถ้าคุณอยากลิ้มลองอาหารพื้นเมืองของเวนิส เมนูที่คุณควรลองได้แก่
- risi e bisi – รีซอตโต้สูตรของเวนิสที่ใส่ถั่วลงไป ทำให้สีของอาหารจะเป็นเขียวอ่อน ซึ่งดูน่ารับประทานครับ
- bigoli in salsa – เมนูพาสต้าเส้น bigoli ที่ทำจาก wholewheat เมนูนี้เป็นอาหารสูตรเฉพาะของเวนิส โดยเส้นจะถูกนำไปผัดกับหัวหอม และปลาหมักเกลือ ในอดีตปลานี้จะใช้เป็นปลาซาร์ดีน แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนไปเป็น anchovy แทนครับ
- cicchetti – แซนวิชสไตล์อิตาเลียน โดยนำขนมปังแผ่นใหญ่ที่โปะด้วยซีฟู้ด เมนูนี้ได้รับความนิยมสูงในบาร์ต่างๆ ครับ
- Bussolai – คุกกี้เนยสไตล์เวนิส
- Baicoli – ขนมปังสำหรับชาวเรือในอดีต นิยมทานร่วมกับกาแฟ
- เจลาโต
References
- Venezia Unica – City of Venice Official Site
- Visit Venezia (Official Site)