หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยวยุโรป16 ที่เที่ยวเวโรนา (Verona) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

16 ที่เที่ยวเวโรนา (Verona) และกิจกรรมน่าสนใจไม่ควรพลาด

-

เนื่องด้วย traffic จาก search engine ที่เข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงมากในระยะหลัง ทำให้ความคุ้มค่าในการเขียนบทความต่างๆ แทบไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นคอนเทนต์ใหม่ๆ ของผมจะไปอยู่ในช่อง Youtube แทนครับ ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ

เวโรนา (Verona) เป็นเมืองในเขต Veneto ของประเทศอิตาลี ด้วยประชากรกว่าเจ็ดแสนคน ทำให้เวโรนาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และมีความสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการค้าครับ

ตัวเมืองนั้นมีชื่อเสียงระบือไกลในเรื่องความเป็นเมืองสวย และเทศกาลโอเปร่าที่โด่งดังไปทั่วยุโรปมาตั้งแต่อดีต ถึงขนาดที่วรรณกรรมของเชคสเปียร์อย่างโรมิโอแอนด์จูเลียต (Romeo and Juilet) ยังมีฉากหลังเป็นเมืองเวโรนาเลยครับ

สำหรับในบทความนี้ ผมจะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเวโรนาอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links หมายความว่าผมจะได้รับส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ

รู้จักเวโรนา (Verona)

เวโรนาเป็นเมืองที่แปลกต่างจากเมืองอื่นๆ ของอิตาลี เพราะไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างเมืองนี้ แถมยังไม่รู้ต้นกำเนิดของชื่อเมืองอีกด้วย แต่ที่แน่ๆ ชาวเมืองนั้นเป็นพันธมิตรของอาณาจักรโรมันตลอดมา และได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรในช่วงปี 89 ก่อนคริสตกาลครับ

ในการปกครองของโรมัน เวโรนาเจริญรุ่งเรืองมาก ได้มีการสร้างสนามกีฬา (Roman Arena) ขนาดใหญ่ขึ้นในเมือง เช่นเดียวกับ forum และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ด้วยความที่เป็นเมืองเอกของภูมิภาค เวโรนาจึงเป็นสมรภูมิของสงครามกลางเมืองในยุคจักรวรรดิหลายต่อหลายครั้งครับ

เมืองเวโรนาในปัจจุบัน
by Javen/ShutterStock

ช่วงศตวรรษที่ 5 เป็นช่วงที่จักรวรรดิโรมันอ่อนแอ และเริ่มถูกรุกรานอย่างหนักโดยเหล่าอนารยชน เวโรนาได้ถูกพวกอนารยชนหลายกลุ่มเข้ายึดครอง อย่างเช่น Alaric I ของชาว Visigoth ที่ต่อมาได้ปล้นสะดมกรุงโรม และ Odoacer ผู้ถอดจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้ายที่ราเวนนาล้วนแต่เคยปกครองเมืองเวโรนาครับ

ตลอดสมัยยุคกลางนั้น ตัวเมืองถูกเปลี่ยนมือไปมาโดยผู้ปกครองหลายชนชาติ แต่ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นเมืองเอกของภูมิภาคไว้ได้ ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 ตัวเมืองถูกปกครองโดยตระกูล della scala ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น Podesta หรือ Lord of Ravenna ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตัวเมืองรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และเป็นเมืองเอกของอิตาลีอย่างแท้จริงครับ

เมืองเวโรนาในปัจจุบัน
by Aliaksandr Antanovich/ShutterStock

อย่างไรก็ดีช่วงศตวรรษที่ 17-18 เป็นช่วงแห่งความเสื่อมถอย เพราะว่านอกจากจะไม่ได้ปกครองตนเองแล้ว (อยู่ในกำมือของฝรั่งเศส เวนิส และสเปน ฯลฯ) เมืองยังผจญกับโรคระบาดหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งสูญเสียประชากรไปเป็นจำนวนมาก ในช่วงปี ค.ศ.1630 เมืองที่เคยยิ่งใหญ่แห่งนี้เหลือประชากรเพียงสองหมื่นคนเท่านั้นครับ

ในช่วงศตวรรษที่ 19 เวโรนาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเกิดใหม่อย่างอิตาลี ทำให้การสลับเปลี่ยนผู้ปกครองจบสิ้นลง และตัวเมืองก็กลับมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่วายโดนทิ้งระเบิดอย่างหนักอีกเช่นเดิม ซึ่งอันที่จริงแล้วเวโรนาโดนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลี เพราะเป็นชุมทางรถไฟ และศูนย์กลางการคมนาคมครับ

ด้วยความที่ตัวเมืองยังหลงเหลือส่วนของเมืองเก่าที่สวยงาม และสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่จากยุคโรมัน เวโรนาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆ ของอิตาลีครับ

เมืองเวโรนา (Verona)
by Olena Znak/ShutterStock

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปเมืองเวโรนาทำอย่างไร?

เวโรนาเดินทางไปไม่ยากด้วยการใช้รถบัสหรือรถไฟจากเมืองใหญ่ของอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นฟลอเรนซ์ มิลาน โรม หรือว่าโบโลญญ่า ทั้งนี้คุณสามารถตรวจสอบราคาและตารางเวลาได้ที่เว็บ Omio ได้อย่างสะดวกสบายครับ

จะประหยัดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในเวโรนาอย่างไร?

การซื้อ Verona Card ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ยูโรต่อวัน จะรวมการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในเมืองแทบทุกแห่ง ดังนั้นถือว่าเป็นดีลที่น่าสนใจมากทีเดียวเลยครับ

1. Verona Arena

Verona Arena หรือ Roman Amphitheater เป็นโรงมหรสพโรมันที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ด้วยจำนวนความจุแบบเต็มที่ถึง 30,000 คน ทำให้เป็นรองแค่โคลอสเซียมและโรงละครอื่นๆ เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นเองครับ

ตัวโรงละครสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.30 และได้รับการออกแบบและจัดสร้างอย่างยอดเยี่ยม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ในเรื่องเสียง เพื่อให้การแสดงต่างๆ เป็นที่ประทับใจในหมู่ผู้ชมมากที่สุด

by Kanuman/ShutterStock

นอกจากที่นี่ยังเคยใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ของเหล่านักรบ Gladiator ด้วย ซึ่งมักจะออกมาประหัตประหารกับสัตว์ป่าให้กับชาวโรมันได้ชมกันครับ

ปัจจุบันที่นี่ยังใช้จัดการแสดงและเทศกาลต่างๆ ของเมืองอยู่ รวมไปถึงคอนเสิร์ตต่างๆ ด้วย โดยเทศกาลอันดับต้นๆ ของเมือง อย่าง Verona Opera Festival ก็จัดขึ้นที่นี่ครับ

by Andrea Berg/ShutterStock

บริเวณรอบโรงมหรสพนั้นคือ Piazza Brà จัตุรัสสำคัญของเมืองที่คับคั่งไปด้วยร้านอาหารโอชารส ถ้าเที่ยวชมมาแล้วหิวๆ สามารถหาอะไรรับประทานได้ทันทีครับ

2. Castelvecchio

Castelvecchio เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยตระกูล della scala ในช่วงศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันตัวป้อมและค่ายคูหอรบต่างๆได้รับการบูรณะและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้านในถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้จัดแสดงผลงานศิลปะจากยุคกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ยาวมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 18 และยังมีอาวุธต่างๆ ให้ได้ชมด้วย รวมแล้วมีสิ่งของจัดแสดงถึง 90,000 ชิ้นด้วยกันครับ

Castelvecchio
by Sean Pavone/ShutterStock

นอกจากนี้บริเวณป้อมยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองเวโรนาที่สวยงามไม่แพ้ที่ใด ถ้ามีโอกาสก็ควรไปชมเช่นกันครับ ใกล้กับป้อมมีสะพานเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อ Ponte Scaligero ซึ่งเป็นจุดยอดนิยมในการเดินเล่นของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองครับ

3. Verona Cathedral

Verona Cathedral หรือ Saint Mary Cathedral เป็นมหาวิหารหลัก (Duomo) ของเมืองเวโรนา ตัวมหาวิหารอุทิศให้กับพระแม่มารี และเป็นที่ตั้งของศาสนจักรในเมืองมาอย่างยาวนานครับ

ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในแบบ Romanesque ของช่วงศตวรรษที่ 12 โดยสร้างขึ้น ณ จุดเดิมที่เคยโบสถ์คริสต์สองแห่งที่ถูกทำลายลงไปเพราะแผ่นดินไหว แต่ตัวโบสถ์ในปัจจุบันนั้นได้การรับการบูรณะหลายครั้ง ทำให้มีลักษณะของสถาปัตยกรรมหลายยุคอย่างเช่น Gothic (ศตวรรษที่ 14) และ Baroque (ศตวรรษที่ 17) ครับ

Verona Cathedral ที่เที่ยวเวโรนา
by saiko3p/ShutterStock

ในส่วนของด้านในนั้นตบแต่งอย่างสวยงามและโมเสก และงานศิลปะอื่นๆ อย่างเช่นภาพ Assumption of the Virgin ของ Titian เป็นต้น ถ้าคุณชอบศิลปะรับรองว่าชมเพลินเลยครับ

นอกจากนี้ด้านในมหาวิหารยังมีห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้วย โดยชื่อว่า Capitolare Library หรือ The Chapter Library of Verona Cathedral ซึ่งเชื่อกันว่าเปิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 อย่างต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน เอกสารจำนวนมากที่หลงเหลือมา โดยเฉพาะงานของชาวกรีก-โรมันก็เพราะการเก็บรักษาของที่นี่ครับ

4. Basilica of San Zeno

Basilica of San Zeno เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นให้กับนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเมืองเวโรนานามว่า Saint Zero of Verona (สร้างขึ้นในจุดที่นักบุญได้ถูกฝัง) การสร้างมหาวิหารแห่งนึ่ถือว่าสมบูรณ์แบบมาก ทำให้เรียกได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามของสถาปัตยกรรม Romanesque ในภาคเหนือของอิตาลีเลยครับ

Basilica of San Zeno
by Karin Wabro/ShutterStock

ด้านหน้าของมหาวิหาร (Facade) นั้นจะเป็นสีโทนอุ่น เพราะวัสดุที่ใช้สร้างเปินอิฐสลับกับหิน Tufa ส่วนด้านข้างของมหาวิหารนั้นมีหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งอยู่ในโทนสีเดียวกับมหาวิหารครับ

สำหรับด้านในนั้นได้รับการตบแต่งอย่างงดงามมาก โดยเฉพาะแท่นบูชาชื่อ Pala di San Zeno หรือ San Zeno Altarpiece ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงามเป็นอันดับต้นๆ ของยุค Renaissance นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนสีสมัยศตวรรษที่ 13-15 ให้ได้ชมอีกด้วยครับ

5. Basilica of Sant’Anastasia 

Basilica of Sant’Anastasia เป็นอีกหนึ่งมหาวิหารอันแสนงดงามของเมืองราเวนนา ตัวมหาวิหารอุทิศให้กับนักบุญอนาสตาเซีย ซึ่งสละชีพเพื่อศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 4 ครับ โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 และถือว่าเป็นสุดยอดของสิ่งก่อสร้างในสถาปัตยกรรม Gothic ในเวโรนาครับ

Basilica of Sant’Anastasia 
by Fabio Lotti/ShutterStock

ด้านในมหาวิหารได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกชื่อ Saint George and the Princess ซึ่งเป็นผลงานเอกของจิตรกรนามว่า Pisanello ครับ อีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงของเสาสิบสองต้นที่สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีแดงอันโด่งดังของเมืองครับ

ใกล้กับมหาวิหารมีหอระฆังที่มีระฆังเก้าใบจะสั่นเป็นแบบ Verona Bell Ringing ซึ่งเป็นการสั่นระฆังแบบ Full Circle ที่คิดค้นโดยชาวเมืองเวโรนาครับ

6. Church of San Fermo

Church of San Fermo เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงนักบุญ Fermo และ Rustico ที่ถูกชาวโรมันทรมานจนสิ้นชีพเพื่อศาสนาไปในศตวรรษที่ 4 ตัวโบสถ์สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11 เพื่อทดแทนหลังเดิม และเก็บอัฐิของนักบุญทั้งสองต่อไปครับ

Church of San Fermo
by Fabio Lotti/ShutterStock

เช่นเดียวกับศาสนสถานอื่นๆ ในเวโรนา โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะและแต่งเติมหลายยุคหลายสมัย สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือเพดานไม้ของโบสถ์ที่มีรูปปั้นของนักบุญ 416 ชิ้นที่เรียงไปตามโค้งของเพดาน เช่นเดียวกับภาพเขียนสีเฟรสโกที่เป็นผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียนครับ

7. Juliet’s House

Juilet’s House หรือ Casa di Giulietta เป็นสถานที่ซึ่งเคยเป็นบ้านพักของชนชั้นสูงของเมืองในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นสถานที่ซึ่งถูกอุปโลกน์ว่าเป็นบ้านของจูเลียตในวรรณกรรม Romeo & Juilet (ทุกส่วนของบทละครนั้นเป็นการประพันธ์ขึ้นของเชคสเปียร์ และตัวเขาเองก็ไม่เคยไปเยือนเวโรนาด้วยครับ)

Juliet's House
by MaximBolshakov/ShutterStock

ในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการสร้างระเบียง (ตามแบบนิยายขึ้น) ทำให้ที่นี่ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงกับเป็นสถานที่อันเป็นญลักษณ์ของความรัก และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดครับ

8. Giusti Garden

Giusti Garden เป็นสวนสวยที่สร้างขึ้นเพื่อยกระดับทิวทัศน์ของ Giusti Palace ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายในสวนมีดอกไม้มากมาย เช่นเดียวกับน้ำพุ และต้นไม้ที่ได้รับการจัดเรียงอย่างสวยงามมีสไตล์ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่สวนแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวนจากยุค Renaissance ที่งามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศครับ

Giusti Garden
by studioanghifoto/ShutterStock

9. Piazza Erbe

Piazza Erbe เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่กลางเมืองเวโรนา และเก่าแก่ที่สุดในบรรดาจัตุรัสทุกแห่ง เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งเคยเป็น Roman Forum เมื่อกว่าสองพันปีก่อนครับ แน่นอนว่าที่นี่จึงกลายเป็นศูนย์กลางของแทบทุกสิ่งในเมือง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจครับ

Piazza Erbe
by xbrchx/ShutterStock

ด้านเหนือของจัตุรัสนั้นมีคาเฟ่และร้านอาหารจำนวนมากมาย แต่อาคารที่ iconic ที่สุดย่อมเป็น Lamberti Tower ที่สูง 84 เมตร ซึ่งนักเดินทางสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของตัวเมืองด้านบนได้ครับ (เดินขึ้นบันได 368 ขั้นหรือว่าขึ้นลิฟต์แก้ว)

10. Piazza dei Signori

Piazza dei Signori หรือที่รู้จักกันในนาม Piazza Dante (เพราะมีรูปปั้น Dante นักเขียนชื่อดังตั้งอยู่ครับ) บริเวณนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะวังเก่าที่เคยเป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเมือง อย่างตระกูล della scala ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 และที่ทำการของรัฐบาลเมืองครับ

 Piazza dei Signori
by artem evdokimov/ShutterStock

หนึ่งในไฮไลท์ในจัตุรัสแห่งนี้คือ Loggia del Consiglio ซึ่งได้รับการสร้างอย่างประณีต ในปัจจุบันเป็นที่ทำการรัฐในปัจจุบันครับ

11. Ponte Pietra

Ponte Pietra เป็นสะพานโบราณที่มีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยทำหน้าที่ขนส่งผู้คนข้ามแม่น้ำ Adige River ตัวสะพานนั้นได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ตระกูล della scala ปกครองเมืองนี้ แต่น่าเสียดายที่ถูกทำลายโดยกองทัพเยอรมันในช่วงสงคราม ตัวสะพานในปัจจุบันจึงเป็นของสร้างใหม่ แต่ด้วยวัสดุเดิม รวมถึงส่วนประกอบของสะพานเก่าที่รอดแรงระเบิดมาได้ครับ

by Luciano Mortula/ShutterStock

12. Scaligeri Graves

Scaligeri Graves เป็นสุสานสไตล์ Gothic ของตระกูล della scala ผู้ปกครองเมืองเวโรนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งยวด โดยด้านในประกอบด้วยโบสถ์ขนาดเล็กที่มีตราประจำตระกูลตั้งอยู่ และรูปปั้นอีกจำนวนมาก

Scaligeri Graves
by Nick_Nick/ShutterStock

ทว่าที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ของ Cangrande I หนึ่งในผู้ปกครองเมืองเวโรนาผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของ Dante ครับ ภายใต้ยุคของเขา เวโรนามีอำนาจเหนือเมืองโดยรอบ อย่างเช่น Padua และ Treviso ครับ

13. Castel San Pietro

Castel San Pietro เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเหนือเมืองเวโรนา ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ทางศาสนามาโดยตลอด (ศาสนากรีก-โรมัน และศาสนาคริสต์) และเคยมีโบสถ์นักบุญเซนต์ปีเตอร์ตั้งอยู่ อันเป็นที่มาของชื่อสถานที่ แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 ซึ่งทำหน้าที่เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองครับ

Castel San Pietro
by saiko3p/ShutterStock

แต่ได้รับความเสียหายมากในช่วงสงครามนโปเลียน และถูกรื้อถอนซ้ำในช่วงที่ออสเตรียปกครองเวโรนา สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่ได้รับการสร้างใหม่ จนในปัจจุบันเหลือแต่เพียงซากของความยิ่งใหญ่เท่านั้นครับ อย่างไรก็ดีปัจจุบันที่นี่เป็นหนึ่งในจุดที่คุณจะชมวิวเมืองเวโรนาได้งดงามที่สุดแห่งหนึ่งครับ

ด้านล่างของภูเขาลูกนี้มีโรงละครโบราณโรมันหรือ Teatro Romano ตั้งอยู่ โดยน่าจะมีอายุ 2,000 ปี ปัจจุบันส่วนของโรงละครเหลือแค่ซากปรักหักพักเท่านั้นครับ

14. Borsari Gate

ในอดีตกาล ชาวโรมันเคยสร้างกำแพงใหญ่เพื่อปกป้องเมืองเวโรนาจากผู้รุกรานกลุ่มต่างๆ ซึ่ง Borsari Gate เป็นส่วนที่เหลือเพียงไม่กี่ส่วนของกำแพงดังกล่าวที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ประตูแห่งนี้เคยทำหน้าที่เป็นประตูหลักของเมือง ซึ่งพ่อค้าและนักเดินทางต่างๆ ใช้เดินทางเข้าออกเมืองครับ

Borsari Gate
by Alberto Masnovo/ShutterStock

15. ชิมเมนูอาหารพื้นเมือง

เวโรนามีหลากหลายเมนูพื้นเมืองที่นักเดินทางไม่ควรพลาด ตั้งแต่ Risotto with Tastasal (รีซอตโต้ที่ใส่หมูสับปรุงรส) ไปจนถึง Potato Gnocchi เกี๊ยวมันฝรั่งแสนอร่อย

Pandoro
by barbajones/ShutterStock

ส่วนเมนูของหวานที่ไม่ควรพลาดคือเค้ก Pandoro ที่มักรับประทานกันในช่วงวันคริสต์มาสครับ ส่วนใครที่หลงใหลของทอด รับรองว่า Fritole (แป้งสอดไส้ทอด คล้ายโดนัท) จะตอบโจทย์ทุกคนที่หลงใหลของหวานที่มีความกรอบครับ

16. เข้าชมเทศกาลต่างๆ

เวโรนาเป็นเมืองที่มีเทศกาลหลากหลายที่น่าสนใจตลอดปี อาทิเช่น

by Ferruccio Righetti/ShutterStock
  • Christmas Market – ตลาดคริสต์มาสที่มีสินค้ามาขาย และมีการตบแต่งมากมายจะจัดขึ้นที่สองจุดในเมืองได้แก่ Piazza dei Signori และ Mercato Vecchio ในช่วงกลายเดือนพฤศจิกายนถึงวันที่ 26 ธันวาคม ในช่วงนี้ตามโรงละครต่างๆ ก็จะมีจัดคอนเสิร์ตและการแสดงหลากหลายด้วยครับ
  • Verona Carnival – หนึ่งในเทศกาลคาร์นิวัลที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป

References

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

ติดตาม Tourist Sense

Most Popular

error: Content is protected !!