เวโรนา (Verona) เป็นเมืองในเขต Veneto ของประเทศอิตาลี ด้วยประชากรกว่าเจ็ดแสนคน ทำให้เวโรนาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และมีความสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการค้าครับ
ตัวเมืองนั้นมีชื่อเสียงระบือไกลในเรื่องความเป็นเมืองสวย และเทศกาลโอเปร่าที่โด่งดังไปทั่วยุโรปมาตั้งแต่อดีต ถึงขนาดที่วรรณกรรมของเชคสเปียร์อย่างโรมิโอแอนด์จูเลียต (Romeo and Juilet) ยังมีฉากหลังเป็นเมืองเวโรนาเลยครับ
สำหรับในบทความนี้ ผมจะนำคุณไปรู้จักกับเมืองเวโรนาอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความมี Affiliate Links หมายความว่าผมจะได้รับส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการถ้าคุณจองบริการต่างๆ ผ่านลิงค์ในบทความครับ
รู้จักเวโรนา (Verona)
เวโรนาเป็นเมืองที่แปลกต่างจากเมืองอื่นๆ ของอิตาลี เพราะไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างเมืองนี้ แถมยังไม่รู้ต้นกำเนิดของชื่อเมืองอีกด้วย แต่ที่แน่ๆ ชาวเมืองนั้นเป็นพันธมิตรของอาณาจักรโรมันตลอดมา และได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรในช่วงปี 89 ก่อนคริสตกาลครับ
ในการปกครองของโรมัน เวโรนาเจริญรุ่งเรืองมาก ได้มีการสร้างสนามกีฬา (Roman Arena) ขนาดใหญ่ขึ้นในเมือง เช่นเดียวกับ forum และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ด้วยความที่เป็นเมืองเอกของภูมิภาค เวโรนาจึงเป็นสมรภูมิของสงครามกลางเมืองในยุคจักรวรรดิหลายต่อหลายครั้งครับ
ช่วงศตวรรษที่ 5 เป็นช่วงที่จักรวรรดิโรมันอ่อนแอ และเริ่มถูกรุกรานอย่างหนักโดยเหล่าอนารยชน เวโรนาได้ถูกพวกอนารยชนหลายกลุ่มเข้ายึดครอง อย่างเช่น Alaric I ของชาว Visigoth ที่ต่อมาได้ปล้นสะดมกรุงโรม และ Odoacer ผู้ถอดจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้ายที่ราเวนนาล้วนแต่เคยปกครองเมืองเวโรนาครับ
ตลอดสมัยยุคกลางนั้น ตัวเมืองถูกเปลี่ยนมือไปมาโดยผู้ปกครองหลายชนชาติ แต่ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นเมืองเอกของภูมิภาคไว้ได้ ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 ตัวเมืองถูกปกครองโดยตระกูล della scala ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น Podesta หรือ Lord of Ravenna ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตัวเมืองรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และเป็นเมืองเอกของอิตาลีอย่างแท้จริงครับ
อย่างไรก็ดีช่วงศตวรรษที่ 17-18 เป็นช่วงแห่งความเสื่อมถอย เพราะว่านอกจากจะไม่ได้ปกครองตนเองแล้ว (อยู่ในกำมือของฝรั่งเศส เวนิส และสเปน ฯลฯ) เมืองยังผจญกับโรคระบาดหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งสูญเสียประชากรไปเป็นจำนวนมาก ในช่วงปี ค.ศ.1630 เมืองที่เคยยิ่งใหญ่แห่งนี้เหลือประชากรเพียงสองหมื่นคนเท่านั้นครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 เวโรนาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเกิดใหม่อย่างอิตาลี ทำให้การสลับเปลี่ยนผู้ปกครองจบสิ้นลง และตัวเมืองก็กลับมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่วายโดนทิ้งระเบิดอย่างหนักอีกเช่นเดิม ซึ่งอันที่จริงแล้วเวโรนาโดนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของอิตาลี เพราะเป็นชุมทางรถไฟ และศูนย์กลางการคมนาคมครับ
ด้วยความที่ตัวเมืองยังหลงเหลือส่วนของเมืองเก่าที่สวยงาม และสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่จากยุคโรมัน เวโรนาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆ ของอิตาลีครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปเมืองเวโรนาทำอย่างไร?
จะประหยัดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในเวโรนาอย่างไร?
การซื้อ Verona Card ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ยูโรต่อวัน จะรวมการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในเมืองแทบทุกแห่ง ดังนั้นถือว่าเป็นดีลที่น่าสนใจมากทีเดียวเลยครับ
1. Verona Arena
Verona Arena หรือ Roman Amphitheater เป็นโรงมหรสพโรมันที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ด้วยจำนวนความจุแบบเต็มที่ถึง 30,000 คน ทำให้เป็นรองแค่โคลอสเซียมและโรงละครอื่นๆ เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นเองครับ
ตัวโรงละครสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.30 และได้รับการออกแบบและจัดสร้างอย่างยอดเยี่ยม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ในเรื่องเสียง เพื่อให้การแสดงต่างๆ เป็นที่ประทับใจในหมู่ผู้ชมมากที่สุด
นอกจากที่นี่ยังเคยใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ของเหล่านักรบ Gladiator ด้วย ซึ่งมักจะออกมาประหัตประหารกับสัตว์ป่าให้กับชาวโรมันได้ชมกันครับ
ปัจจุบันที่นี่ยังใช้จัดการแสดงและเทศกาลต่างๆ ของเมืองอยู่ รวมไปถึงคอนเสิร์ตต่างๆ ด้วย โดยเทศกาลอันดับต้นๆ ของเมือง อย่าง Verona Opera Festival ก็จัดขึ้นที่นี่ครับ
บริเวณรอบโรงมหรสพนั้นคือ Piazza Brà จัตุรัสสำคัญของเมืองที่คับคั่งไปด้วยร้านอาหารโอชารส ถ้าเที่ยวชมมาแล้วหิวๆ สามารถหาอะไรรับประทานได้ทันทีครับ
2. Castelvecchio
Castelvecchio เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยตระกูล della scala ในช่วงศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันตัวป้อมและค่ายคูหอรบต่างๆได้รับการบูรณะและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้านในถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้จัดแสดงผลงานศิลปะจากยุคกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ยาวมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 18 และยังมีอาวุธต่างๆ ให้ได้ชมด้วย รวมแล้วมีสิ่งของจัดแสดงถึง 90,000 ชิ้นด้วยกันครับ
นอกจากนี้บริเวณป้อมยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองเวโรนาที่สวยงามไม่แพ้ที่ใด ถ้ามีโอกาสก็ควรไปชมเช่นกันครับ ใกล้กับป้อมมีสะพานเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อ Ponte Scaligero ซึ่งเป็นจุดยอดนิยมในการเดินเล่นของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองครับ
3. Verona Cathedral
Verona Cathedral หรือ Saint Mary Cathedral เป็นมหาวิหารหลัก (Duomo) ของเมืองเวโรนา ตัวมหาวิหารอุทิศให้กับพระแม่มารี และเป็นที่ตั้งของศาสนจักรในเมืองมาอย่างยาวนานครับ
ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในแบบ Romanesque ของช่วงศตวรรษที่ 12 โดยสร้างขึ้น ณ จุดเดิมที่เคยโบสถ์คริสต์สองแห่งที่ถูกทำลายลงไปเพราะแผ่นดินไหว แต่ตัวโบสถ์ในปัจจุบันนั้นได้การรับการบูรณะหลายครั้ง ทำให้มีลักษณะของสถาปัตยกรรมหลายยุคอย่างเช่น Gothic (ศตวรรษที่ 14) และ Baroque (ศตวรรษที่ 17) ครับ
ในส่วนของด้านในนั้นตบแต่งอย่างสวยงามและโมเสก และงานศิลปะอื่นๆ อย่างเช่นภาพ Assumption of the Virgin ของ Titian เป็นต้น ถ้าคุณชอบศิลปะรับรองว่าชมเพลินเลยครับ
นอกจากนี้ด้านในมหาวิหารยังมีห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้วย โดยชื่อว่า Capitolare Library หรือ The Chapter Library of Verona Cathedral ซึ่งเชื่อกันว่าเปิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 อย่างต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน เอกสารจำนวนมากที่หลงเหลือมา โดยเฉพาะงานของชาวกรีก-โรมันก็เพราะการเก็บรักษาของที่นี่ครับ
4. Basilica of San Zeno
Basilica of San Zeno เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นให้กับนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเมืองเวโรนานามว่า Saint Zero of Verona (สร้างขึ้นในจุดที่นักบุญได้ถูกฝัง) การสร้างมหาวิหารแห่งนึ่ถือว่าสมบูรณ์แบบมาก ทำให้เรียกได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามของสถาปัตยกรรม Romanesque ในภาคเหนือของอิตาลีเลยครับ
ด้านหน้าของมหาวิหาร (Facade) นั้นจะเป็นสีโทนอุ่น เพราะวัสดุที่ใช้สร้างเปินอิฐสลับกับหิน Tufa ส่วนด้านข้างของมหาวิหารนั้นมีหอระฆังสมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งอยู่ในโทนสีเดียวกับมหาวิหารครับ
สำหรับด้านในนั้นได้รับการตบแต่งอย่างงดงามมาก โดยเฉพาะแท่นบูชาชื่อ Pala di San Zeno หรือ San Zeno Altarpiece ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงามเป็นอันดับต้นๆ ของยุค Renaissance นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนสีสมัยศตวรรษที่ 13-15 ให้ได้ชมอีกด้วยครับ
5. Basilica of Sant’Anastasia
Basilica of Sant’Anastasia เป็นอีกหนึ่งมหาวิหารอันแสนงดงามของเมืองราเวนนา ตัวมหาวิหารอุทิศให้กับนักบุญอนาสตาเซีย ซึ่งสละชีพเพื่อศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 4 ครับ โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 และถือว่าเป็นสุดยอดของสิ่งก่อสร้างในสถาปัตยกรรม Gothic ในเวโรนาครับ
ด้านในมหาวิหารได้รับการตบแต่งด้วยภาพเขียนสีเฟรสโกชื่อ Saint George and the Princess ซึ่งเป็นผลงานเอกของจิตรกรนามว่า Pisanello ครับ อีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงของเสาสิบสองต้นที่สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีแดงอันโด่งดังของเมืองครับ
ใกล้กับมหาวิหารมีหอระฆังที่มีระฆังเก้าใบจะสั่นเป็นแบบ Verona Bell Ringing ซึ่งเป็นการสั่นระฆังแบบ Full Circle ที่คิดค้นโดยชาวเมืองเวโรนาครับ
6. Church of San Fermo
Church of San Fermo เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงนักบุญ Fermo และ Rustico ที่ถูกชาวโรมันทรมานจนสิ้นชีพเพื่อศาสนาไปในศตวรรษที่ 4 ตัวโบสถ์สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11 เพื่อทดแทนหลังเดิม และเก็บอัฐิของนักบุญทั้งสองต่อไปครับ
เช่นเดียวกับศาสนสถานอื่นๆ ในเวโรนา โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะและแต่งเติมหลายยุคหลายสมัย สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือเพดานไม้ของโบสถ์ที่มีรูปปั้นของนักบุญ 416 ชิ้นที่เรียงไปตามโค้งของเพดาน เช่นเดียวกับภาพเขียนสีเฟรสโกที่เป็นผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียนครับ
7. Juliet’s House
Juilet’s House หรือ Casa di Giulietta เป็นสถานที่ซึ่งเคยเป็นบ้านพักของชนชั้นสูงของเมืองในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นสถานที่ซึ่งถูกอุปโลกน์ว่าเป็นบ้านของจูเลียตในวรรณกรรม Romeo & Juilet (ทุกส่วนของบทละครนั้นเป็นการประพันธ์ขึ้นของเชคสเปียร์ และตัวเขาเองก็ไม่เคยไปเยือนเวโรนาด้วยครับ)
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการสร้างระเบียง (ตามแบบนิยายขึ้น) ทำให้ที่นี่ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงกับเป็นสถานที่อันเป็นญลักษณ์ของความรัก และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดครับ
8. Giusti Garden
Giusti Garden เป็นสวนสวยที่สร้างขึ้นเพื่อยกระดับทิวทัศน์ของ Giusti Palace ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายในสวนมีดอกไม้มากมาย เช่นเดียวกับน้ำพุ และต้นไม้ที่ได้รับการจัดเรียงอย่างสวยงามมีสไตล์ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่สวนแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวนจากยุค Renaissance ที่งามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศครับ
9. Piazza Erbe
Piazza Erbe เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่กลางเมืองเวโรนา และเก่าแก่ที่สุดในบรรดาจัตุรัสทุกแห่ง เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งเคยเป็น Roman Forum เมื่อกว่าสองพันปีก่อนครับ แน่นอนว่าที่นี่จึงกลายเป็นศูนย์กลางของแทบทุกสิ่งในเมือง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจครับ
ด้านเหนือของจัตุรัสนั้นมีคาเฟ่และร้านอาหารจำนวนมากมาย แต่อาคารที่ iconic ที่สุดย่อมเป็น Lamberti Tower ที่สูง 84 เมตร ซึ่งนักเดินทางสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของตัวเมืองด้านบนได้ครับ (เดินขึ้นบันได 368 ขั้นหรือว่าขึ้นลิฟต์แก้ว)
10. Piazza dei Signori
Piazza dei Signori หรือที่รู้จักกันในนาม Piazza Dante (เพราะมีรูปปั้น Dante นักเขียนชื่อดังตั้งอยู่ครับ) บริเวณนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะวังเก่าที่เคยเป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเมือง อย่างตระกูล della scala ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 และที่ทำการของรัฐบาลเมืองครับ
หนึ่งในไฮไลท์ในจัตุรัสแห่งนี้คือ Loggia del Consiglio ซึ่งได้รับการสร้างอย่างประณีต ในปัจจุบันเป็นที่ทำการรัฐในปัจจุบันครับ
11. Ponte Pietra
Ponte Pietra เป็นสะพานโบราณที่มีความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยโรมัน โดยทำหน้าที่ขนส่งผู้คนข้ามแม่น้ำ Adige River ตัวสะพานนั้นได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ตระกูล della scala ปกครองเมืองนี้ แต่น่าเสียดายที่ถูกทำลายโดยกองทัพเยอรมันในช่วงสงคราม ตัวสะพานในปัจจุบันจึงเป็นของสร้างใหม่ แต่ด้วยวัสดุเดิม รวมถึงส่วนประกอบของสะพานเก่าที่รอดแรงระเบิดมาได้ครับ
12. Scaligeri Graves
Scaligeri Graves เป็นสุสานสไตล์ Gothic ของตระกูล della scala ผู้ปกครองเมืองเวโรนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งยวด โดยด้านในประกอบด้วยโบสถ์ขนาดเล็กที่มีตราประจำตระกูลตั้งอยู่ และรูปปั้นอีกจำนวนมาก
ทว่าที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ของ Cangrande I หนึ่งในผู้ปกครองเมืองเวโรนาผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของ Dante ครับ ภายใต้ยุคของเขา เวโรนามีอำนาจเหนือเมืองโดยรอบ อย่างเช่น Padua และ Treviso ครับ
13. Castel San Pietro
Castel San Pietro เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเหนือเมืองเวโรนา ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ทางศาสนามาโดยตลอด (ศาสนากรีก-โรมัน และศาสนาคริสต์) และเคยมีโบสถ์นักบุญเซนต์ปีเตอร์ตั้งอยู่ อันเป็นที่มาของชื่อสถานที่ แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 ซึ่งทำหน้าที่เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองครับ
แต่ได้รับความเสียหายมากในช่วงสงครามนโปเลียน และถูกรื้อถอนซ้ำในช่วงที่ออสเตรียปกครองเวโรนา สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่ได้รับการสร้างใหม่ จนในปัจจุบันเหลือแต่เพียงซากของความยิ่งใหญ่เท่านั้นครับ อย่างไรก็ดีปัจจุบันที่นี่เป็นหนึ่งในจุดที่คุณจะชมวิวเมืองเวโรนาได้งดงามที่สุดแห่งหนึ่งครับ
ด้านล่างของภูเขาลูกนี้มีโรงละครโบราณโรมันหรือ Teatro Romano ตั้งอยู่ โดยน่าจะมีอายุ 2,000 ปี ปัจจุบันส่วนของโรงละครเหลือแค่ซากปรักหักพักเท่านั้นครับ
14. Borsari Gate
ในอดีตกาล ชาวโรมันเคยสร้างกำแพงใหญ่เพื่อปกป้องเมืองเวโรนาจากผู้รุกรานกลุ่มต่างๆ ซึ่ง Borsari Gate เป็นส่วนที่เหลือเพียงไม่กี่ส่วนของกำแพงดังกล่าวที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ประตูแห่งนี้เคยทำหน้าที่เป็นประตูหลักของเมือง ซึ่งพ่อค้าและนักเดินทางต่างๆ ใช้เดินทางเข้าออกเมืองครับ
15. ชิมเมนูอาหารพื้นเมือง
เวโรนามีหลากหลายเมนูพื้นเมืองที่นักเดินทางไม่ควรพลาด ตั้งแต่ Risotto with Tastasal (รีซอตโต้ที่ใส่หมูสับปรุงรส) ไปจนถึง Potato Gnocchi เกี๊ยวมันฝรั่งแสนอร่อย
ส่วนเมนูของหวานที่ไม่ควรพลาดคือเค้ก Pandoro ที่มักรับประทานกันในช่วงวันคริสต์มาสครับ ส่วนใครที่หลงใหลของทอด รับรองว่า Fritole (แป้งสอดไส้ทอด คล้ายโดนัท) จะตอบโจทย์ทุกคนที่หลงใหลของหวานที่มีความกรอบครับ
16. เข้าชมเทศกาลต่างๆ
เวโรนาเป็นเมืองที่มีเทศกาลหลากหลายที่น่าสนใจตลอดปี อาทิเช่น
- Christmas Market – ตลาดคริสต์มาสที่มีสินค้ามาขาย และมีการตบแต่งมากมายจะจัดขึ้นที่สองจุดในเมืองได้แก่ Piazza dei Signori และ Mercato Vecchio ในช่วงกลายเดือนพฤศจิกายนถึงวันที่ 26 ธันวาคม ในช่วงนี้ตามโรงละครต่างๆ ก็จะมีจัดคอนเสิร์ตและการแสดงหลากหลายด้วยครับ
- Verona Carnival – หนึ่งในเทศกาลคาร์นิวัลที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
References
- Visit Verona
- Capitolare Library Official Site