หุบเขาวาเคา (Wachau Valley) เป็นหุบเขาสุดสวยในรัฐ Lower Austria ของประเทศออสเตรียที่เกิดจากการไหลผ่านของแม่น้ำดานูบ นอกจากทัศนียภาพทางธรรมชาติแล้ว เมืองต่างๆ ในหุบเขาแห่งนี้นั้นมีความรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับไร่องุ่นระดับโลกหลายแห่งด้วยกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะชอบการท่องเที่ยวแบบใด ที่นี่จะตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอนครับ
บทความนี้จะนำคุณไปรู้จักหุบเขาวาเคาคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
รู้จักหุบเขาวาเคา (Wachau Valley)
ตัวหุบเขานั้นกินพื้นที่ระหว่างเมืองขนาดเล็กสองเมืองอย่าง Melk และ Krems และมีความยาวประมาณ 36 กิโลเมตร พื้นที่บริเวณนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีมนุษย์อยู่อาศัยต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้วครับ
ในสมัยจักรวรรดิโรมัน พื้นที่บริเวณหุบเขาวาเคาเป็นพรมแดนของจักรวรรดิ ดังนั้นชาวโรมันจึงมีการสร้างแนวป้องกันไปจนถึงป้อมปราการอยู่หลายแห่งเพื่อสกัดกั้นการรุกรานและการอพยพของอนารยชนกลุ่มต่างๆ
ต่อมาในสมัยยุคกลาง ดินแดนบริเวณหุบเขาวาเคาได้อยู่ในการปกครองของรัฐ Babenberg ซึ่งได้มีส่วนทำให้หุบเขาวาเคาปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์สายหลัก เพราะดยุคแห่ง Babenberg ได้คุมขังริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lionheart) กษัตริย์อังกฤษที่กำลังเดินทางกลับจากการทำสงครามครูเสดครับ
หลังจากนั้นหุบเขาวาเคาไม่ได้มีความสำคัญใดๆ ในหน้าประวัติศาสตร์มากนัก จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 17 พื้นที่ส่วนนี้ได้ถูกครอบครองโดยนายทุนซึ่งได้เปลี่ยนหุบเขาแห่งนี้เป็นไร่องุ่นมาจนถึงปัจจุบันครับ
อย่างไรก็ดีในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ก็ได้มีการสร้างโบสถ์และวิหารจำนวนมากส่วนหนึ่งเพราะศรัทธาของผู้คนแถบนี้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งอาคารจำนวนมากยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน และด้วยความที่พื้นที่บริเวณนี้ห่างไกลเมืองใหญ่ ทำให้อาคารเก่าๆ รอดพ้นจากไฟสงคราม และเหลือมาจนถึงปัจจุบันครับ
ในช่วงปี ค.ศ.2000 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้หุบเขาวาเคาเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม หลังจากนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของรัฐ Lower Austria ครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางไปหุบเขาวาเคา (Wachau Valley) ทำอย่างไร?
วิธีการที่สะดวกสบายที่สุดคือการเช่ารถแล้วขับมาจากเมืองใหญ่ๆ ของออสเตรีย ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงอย่างเวียนนา หรือว่าเมืองรองลงมาอย่างลินซ์หรือกราซครับ
สำหรับใครที่ไม่ได้ขับรถ คุณสามารถนั่งรถไฟมาลงที่เมือง Melk หรือ Krems แล้วใช้บริการรถบัส (Wachau-Linien bus) หรือ Wachaubahn Rail Line เพื่อไปจุดต่างๆ ในหุบเขาวาเคาได้ครับ
1. Melk
เมลค์ (Melk) เป็นเมืองเก่าแก่ที่เป็นต้นทางของการสำรวจหุบเขาวาเคาของนักเดินทางจำนวนมาก ไฮไลท์ของเมืองอยู่ที่ Melk Abbey ศาสนสถานขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ด้านในได้รับการตบแต่งอย่างสวยงามอลังการครับ
นอกจากนี้ในเมืองยังมีย่านเมืองเก่าที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก แม้ว่าจะเล็กแต่อาคารแต่ละแห่งยังสวยงามเหมือนกับในอดีต แถมยังสวยมากเพราะอยู่ริมแม่น้ำครับ
บริเวณนอกเมืองยังมีปราสาทที่สวยงามหลายแห่ง อย่างเช่น Artstetten Castle ปราสาทของอาร์กดยุคเฟอร์ดินานด์ ผู้ที่ถูกลอบสังหารแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ปัจจุบันร่างของพระองค์ก็ได้รับการฝังลงที่นี่เคียงคู่กับพระชายาครับ
ส่วนอีกแห่งที่น่าสนใจคือ Schallaburg Castle ปราสาทอายุ 900 ปีที่เป็นส่วนผสมของสถาปัตยกรรมแบบ Gothic, Romanesque และ Renaissance ครับ นอกจากนี้ดา้นในยังมีสวนสวยๆ ให้ชมอีกด้วย
2. Aggstein Castle
Aggstein Castle เป็นปราสาทโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 13 และผ่านการทำลายและสร้างใหม่มาหลายต่อหลายครั้ง ปัจจุบันตัวปราสาทเสียหายไปมาก แต่ก็ยังเหลือโครงสร้างให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่พำนักในปราสาทแห่งนี้ได้พอสมควร
ทว่าสิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้โดดเด่นคือวิวที่สวยสุดจะพรรณนา เพราะตัวปราสาทอยู่บนภูเขาที่สูง 300 เมตรเหนือแม่น้ำดานูบเบื้องล่าง ทำให้คุณชมวิวมุมสูงของหุบเขาวาเคาได้แบบยากที่หาที่ใดมาเปรียบครับ
3. Spitz
Spitz เป็นเมืองขนาดเล็กที่มีส่วนของเมืองเก่าที่งามมาก ด้านในมีอารามในคริสตศาสนาอย่าง Church of St.Maurice ที่มีอายุหลายร้อยปีและยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ครับ
ใกล้กับเมืองมีปราสาทชื่อ Hinterhaus Castle ที่มีความเป็นมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 และเต็มไปด้วยตำนานรวมไปถึงเรื่องลี้ลับอย่างเช่นวิญญาณของอดีตเจ้าของท่านหนึ่งจะปรากฏตัวให้เห็นในวันที่สามีของเธอเสียชีวิตเป็นต้น
ห่างจากเมือง Spitz ไปประมาณ 8 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งของ Marillenhof Kausl ฟาร์มแอปริคอทขนาดใหญ่ที่ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นยอดจากผลแอปริคอทสดๆ ใครที่สนใจสามารถไปเยี่ยมเยือนได้ครับ
4. Weissenkirchen
Weissenkirchen เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่เป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดของหุบเขาวาเคา ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบ และอยู่มีโบสถ์ทรงโกธิคตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์ ความสวยงามของที่นี่ทำให้นักเดินทางจำนวนมากมายมาเยี่ยมเยือนเพื่อชมทัศนียภาพครับ
5. Dürnstein
Dürnstein เป็นหนึ่งในเมืองที่นักเดินทางจำนวนมากมองว่าสวยที่สุดในหุบเขาวาเคา แน่นอนว่าตัวเมืองนั้นเป็นเมืองแบบเดิมที่มีอายุหลายร้อยปี แต่ที่นี่จะมี Dürnstein Abbey วัดในศาสนาคริสต์ที่มีหอคอยสีน้ำเงินที่เรืองรองเหนือแม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กทำให้คุณตระหนักว่าได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้วครับ
สำหรับใครที่ชอบประวัติศาสตร์ คุณสามารถไปเยี่ยมชมซากของ Dürnstein Castle ปราสาทที่ครั้งหนึ่งถูกใช้กักขังริชาร์ดใจสิงห์ หนึ่งในนักรบครูเสดที่มีชื่อเสียงที่สุดได้ครับ
6. Krems
Krems เป็นเมืองที่อยู่ตอนเหนือสุดของหุบเขาวาเคา และเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงไม่มีอะไรเกิน Göttweig Abbey โบสถ์แสนสวยในสไตล์บารอคด้วยโทนสีชมพู ด้านในได้รับการตบแต่งอย่างงดงามด้วยผลงานศิลปะอย่างเช่นภาพเขียนสีเฟรสโกเป็นต้น ทว่าที่สุดยอดที่สุดเห็นจะเป็นบันไดแบบบารอคที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในยุโรปครับ
อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจคือ Museum Krems พิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตไวน์ในเมืองและหุบเขาวาเคา รวมไปถึงมัสตาร์ดหวานอย่าง Kremser Senf ที่เป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านที่มีชื่อเสียงครับ
7. ล่องแม่น้ำดานูบ
การล่องแม่น้ำดานูบเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเมื่อได้มาเหยียบหุบเขาวาเคา เพราะคุณจะได้เห็นความงดงามทางธรรมชาติไปพร้อมเมืองสวยที่เรียงรายกันไปตั้งแต่ Melk ไปจนถึง Krems ในแต่ละปีนั้นมีนักท่องเที่ยวถึงเกือบสี่แสนคนที่เลือกที่จะล่องเรือครับ ดังนั้นคุณเองย่อมไม่ควรมองข้ามเช่นเดียวกัน
สำหรับตัวเลือกในการล่องนั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่ล่องเรือเล็กแบบส่วนตัวไปจนถึงเรือใหญ่แบบเรือเฟอร์รีและเรือชมวิว หรือแม้กระทั่งล่องแพ ในส่วนของราคานั้นก็จะแตกต่างกันออกไปครับ เลือกตัวเลือกที่ต้องการได้ที่นี่
8. Wachau World Heritage Trail
ถ้าคุณมีเวลาเพียงพอ มีสภาพร่างกายที่พร้อมสรรพ และอยากสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด การเดินเทรคตามเส้นทาง Wachau World Heritage Trail เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ
ตัวเส้นทางยาวประมาณ 180 กิโลเมตร และครอบคลุมพื้นที่ของหุบเขาวาเคา โดยจะผ่านปราสาท ไร่องุ่น เช่นเดียวกับอารามและวิหารมากมายที่ทั้งสวยงาม อย่างไรก็ดีคุณไม่จำเป็นต้องเดินครบทั้งเส้นก็ได้ เพราะในเส้นทางจะแบ่งออกเป็น 14 ส่วนด้วยกัน คุณอาจจะเลือกเส้นทาง Durnstein-Krems ที่มีระยะทางเพียง 12.5 กิโลเมตร และเดินจบได้ในวันเดียวก็ได้ครับ
References
- Donau.com (Official Travel Site)