หน้าแรกสถานที่ท่องเที่ยว14 ที่เที่ยวและกิจกรรมน่าสนใจในอินส์บรุค (Innsbruck)

14 ที่เที่ยวและกิจกรรมน่าสนใจในอินส์บรุค (Innsbruck)

-

อินส์บรุค (Innsbruck) เป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศออสเตรีย ตัวเมืองนั้นมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองสไตล์ alpine และเมืองกีฬาฤดูหนาวของประเทศ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและนอกประเทศออสเตรียครับ

ในโพสนี้ผมจึงมาแนะนำเมืองอินส์บรุคให้ทุกคนได้รู้จักอย่างคร่าวๆ หลังจากนั้นจะไปว่ากันต่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจครับ

Affiliate Disclosure: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่าในบทความนี้มี Affiliate Links หรือแปลว่าผมจะได้ส่วนแบ่งจากผู้ให้บริการถ้าคุณซื้อหรือจองบริการต่างๆ ผ่านทางลิงค์ดังกล่าวครับ

แนะนำเมืองอินส์บรุค (Innsbruck)

อินส์บรุคนั้นเป็นเมืองหลวงของรัฐ Tyrol ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของออสเตรีย ตัวเมืองนั้นอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์ ทำให้บริเวณโดยรอบสวยงามตระการตาอย่างมากเลยครับ

แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ความเป็นมาของเมืองนี้ย้อนไปได้ถึงยุคหินเก่าเลยทีเดียว แต่ช่วงที่เริ่มเป็นเมืองจะอยู่ในยุคโรมัน โดยอินส์บรุคทำหน้าที่เป็นสถานที่เก็บเสบียงของกองทัพโรมันครับ

แลนด์มาร์กของเมืองอินส์บรุค
by Kadagan/ShutterStock

ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ อินส์บรุคแทบไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรนัก และเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขตลอดมา โดยในช่วงศตวรรษที่ 16-19 นั้น อินส์บรุคตกเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรียและบาวาเรียสลับกัน และคงเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรียมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดีช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น อินส์บรุคโดนทิ้งระเบิดหนักไม่น้อยแต่ชาวเมืองก็ช่วยกันฟื้นฟูเมืองจนกลับมาสวยงามดังเดิมได้สำเร็จ

อินส์บรุคมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเพราะเคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวถึงสองครั้ง (1964 และ 1976) ผลของการจัดงานดังกล่าวทำให้ตัวเมืองเป็นเมืองกีฬาฤดูหนาวอันดับต้นๆ มาจนถึงปัจจุบัน

ข้อควรทราบ

การเดินทางไปเที่ยวอินส์บรุค (Innsbruck) ทำอย่างไร

แม้ว่าอินส์บรุคเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย แต่เมืองนี้กลับอยู่ใกล้ประเทศเยอรมนีมาก ทำให้การเดินทางมาอินส์บรุคจากเมืองใหญ่ของเยอรมนีอย่างมิวนิคนั้นใกล้กว่าเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย (ห่างจากมิวนิค 162 กิโลเมตร เทียบกับ 476 กิโลเมตรจากเวียนนา)

ดังนั้นถ้าคุณกำลังวางแผนเที่ยวเยอรมนีและออสเตรีย คุณสามารถบินจากกรุงเทพมาลงสนามบินมิวนิค และเริ่มด้วยการเที่ยวบาวาเรียให้เสร็จสิ้น หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟลงใต้ไปเที่ยวอินส์บรุค และเที่ยวต่อไปตามทิศตะวันออกอย่างซาลซ์บูร์กและปิดท้ายที่เวียนนาครับ

ความงดงามของเมืองอินส์บรุค

สำหรับการจองตั๋วรถไฟและรถบัสจากสถานที่ต่างๆ ในยุโรปนั้น ผมแนะนำให้ใช้ Omio เพื่อความสะดวกสบาย และคุณยังสามารถเปรียบเทียบราคาและเส้นทางต่างๆ ได้อย่างละเอียดด้วยครับ

ไปเที่ยวอินส์บรุคช่วงไหนดี?

Innsbruck เป็นเมืองที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูร้อนนั้น กระเช้าและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะเปิดนานกว่าปกติ และอากาศโดยรวมจะดีเยี่ยม ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไปโดยปริยาย

อีกช่วงหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากคือช่วงฤดูหนาว เพราะที่นี่มีชื่อเสียงด้านกีฬาฤดูหนาวอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวมากมายจึงหลั่งใหลกันมาที่นี่ในช่วงนี้ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลอย่างคริสต์มาสอีกด้วย

เมืองอินส์บรุคในช่วงฤดูหนาว
Photo by A Rosara on Unsplash

ส่วนช่วงที่เหลือก็เป็นช่วงที่พอจะเที่ยวได้บ้าง อย่างฤดูใบไม้ร่วงนั้น คุณจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อแห่งเทือกเขาแอลป์ ซึ่งสวยสุดจะพรรณนาและอากาศก็ยังไม่หนาวเกินไปอีกด้วย

ช่วงที่ผมว่าแย่ที่สุดของปีน่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเพราะช่วงนั้นตัวเมืองจะเปียกเฉาะแฉะเพราะหิมะละลาย แถมฝนยังอาจจะตกด้วย แต่โดยรวมแล้วก็ยังสามารถได้รับประสบการณ์ที่ดีได้อยู่ครับ

ประหยัดค่าเข้าชมในอินส์บรุคอย่างไร

วิธีที่ดีที่สุดคือการซื้อ Innsbruck Card โดยมีให้เลือกตั้งแต่ 1-3 วันครับ โดยบัตร 1 วันจะเริ่มต้นที่ 53 ยูโร ส่วน 2 วันและ 3 วันจะอยู่ที่ 63 และ 73 ยูโรตามลำดับ

บัตรนี้จะรวมค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเช้า The Nordkette ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อีกนับสิบแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Swarovski Crystal Worlds ครับ เช่นเดียวกับสวนสัตว์อย่าง Alpine Zoo และพระราชวัง Imperial Palace Innsbruck (หรือพูดง่ายครอบคลุมสถานที่เที่ยวแทบทั้งหมดในบทความนี้)

นอกจากนี้ยังรวมการใช้รถบัส รถไฟ และรถสำหรับเดินทางไปยัง Swarovski Crystal Worlds ด้วยครับ ทำให้บัตรนี้จัดว่าคุ้มค่าทีเดียว

สำหรับนักเดินทางส่วนใหญ่ ผมมองว่าสามารถเก็บสถานที่เที่ยวในอินส์บรุคได้ทั้งหมดในเวลา 1-2 วันครับ เพราะฉะนั้นซื้อบัตรแค่ 1-2 วันก็เพียงพอแล้วครับ

Tip

สำหรับใครที่ยังไม่ได้จองที่พัก ผมแนะนำให้อ่านบทความที่พักดีๆ ในอินส์บรุคเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ

1. ชมวิวมุมสูงของเมืองที่ The Nordkette

อินส์บรุคเป็นเมืองที่ธรรมชาติโดยรอบสวยงามมาก ดังนั้นถ้าคุณมาถึงที่นี่แล้ว คุณต้องหาโอกาสไปชมวิวมุมสูงแลเทือกเขาแอลป์โดยรอบสักครั้งให้ได้

การชมวิวนี้ไม่ได้ต้องเหนื่อยปีนขึ้นไปแต่อย่างใด เพราะคุณสามารถขึ้นไปชมวิวบนแนวภูเขา Nordkette โดยการนั่งกระเช้าอย่าง Nordkette Cable Car (Nordkettenbahn) ขึ้นไป ซึ่งเมื่อคุณขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว คุณจะเห็นวิวอันสวยงามของเมืองแบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ

ในการขึ้นไปภูเขา Nordkette จะมี 3 จุดหลักๆ ที่น่าสนใจได้แก่

1. Innsbruck – Hungerburg – กระเช้าช่วงแรกจะนำคุณจากใจกลางเมืองอินส์บรุคขึ้นมายังเขต Hungerburg ของเมืองอินส์บรุค ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขา ทั้งนี้ระหว่างทางจะมีจุดจอดให้ลงสวนสัตว์อย่าง Alpine Zoo ที่ชาวออสเตรียมักจะพาบุตรหลานไปเที่ยวชมครับ

อย่างไรก็ดีสำหรับกระเช้าช่วงนี้นั้นไม่จำเป็นต้องนั่ง เพราะรถธรรมดาสามารถขึ้นมาถึงได้ครับ

2. Hungerberg – Seegrube – กระเช้าช่วงที่สองจะนำคุณจาก Hungerberg ขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูเขา Seegrube ซึ่งสูงประมาณ 1905 เมตร ซึ่งด้านบนนี้จะมีจุดชมวิวที่เห็นภูมิประเทศโดยรอบที่สวยงามมาก

วิวจาก Seegrube Photo by Paul Pastourmatzis on Unsplash

นอกจากนี้ตัวภูเขายังมีร้านอาหารและบาร์แบบ igloo อีกด้วย คุณจะได้รับประทานอาหารและเครื่องดื่มในบรรยากาศที่สวยงามสุดๆ ไปเลยครับ

3. Seegrube – Hafelekar – กระเช้าช่วงสุดท้ายที่จะนำคุณขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของ The Nordkette (2,300 เมตร) เมื่อคุณขึ้นไปถึงแล้ว วิวจากจุดนี้จะสวยและอลังการงานสร้างที่สุด เพราะจะเห็นตัวเมืองอินส์บรุคและภูเขาอื่นๆ แบบ 360 องศาเลยครับ

by SimonDannhauer, standard license, depositphotos

สิ่งที่คุณควรทราบอย่างหนึ่งคือ กระเช้าสามช่วงด้านบนนี้จะเปิดปิดไม่พร้อมกัน เพราะฉะนั้นโปรดวางแผนล่วงหน้าให้ดีครับ แต่เรื่องไปค้างเติ่งอยู่ข้างบนนี่ไม่มีโอกาสแน่นอน เพราะกระเช้าด้านบนสุดจะปิดก่อนครับ

สำหรับใครที่อยากได้วิวช่วงกลางคืน ผมแนะนำให้ไปอินส์บรุควันศุกร์แรกของเดือน เพราะกระเช้าช่วงที่สองจะปิดตอนห้าทุ่มครึ่งครับ ซึ่งแปลว่าคุณจะได้ชมวิวมุมสูงไปพร้อมๆ กับทะเลดวงดาว ซึ่งจะให้ประสบการณ์การชมวิวที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียวครับ

2. เล่นกีฬาฤดูหนาวและกิจกรรมผาดโผนอื่นๆ

อินส์บรุคมีชื่อเสียงในฐานะเมืองกีฬาฤดูหนาว ดังนั้นถ้าคุณอยากได้ประสบการณ์ความตื่นเต้นให้ฮฮร์โมนหลั่งบ้าง คุณไม่ควรพลาดกิจกรรมเหล่านี้ครับ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะทำได้จาก The Nordkette ครับ

กิจกรรมที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้

เล่นสกีและสโนว์บอร์ด – คุณสามารถเล่นสกีและสโนว์บอร์ดได้หลายแห่งในอินส์บรุค แต่ที่ยอดนิยมที่สุดแน่นอนว่าอยู่ที่ Seegrube- Hafelekar ที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วด้านบน อย่างไรก็ดีลานสกีของที่นี่นั่นลาดชันมาก โดยเฉพาะระดับ 6 ที่ชันถึง 70 องศาเลยทีเดียว ดังนั้นจะเหมาะกับใครที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น ถ้าคุณไม่เคยเล่นมาก่อนเลย ผมไม่แนะนำครับ

เดินเทรคกิ้ง – จาก Seegrube นั้นมีเส้นทางเทรคกิ้งที่น่าสนใจอยู่หลายเส้น ซึ่งมีความยากต่างกันออกไป และเห็นวิวที่สวยงามหลากรูปแบบใน Karwendel Nature Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียครับ

Image by Uli Boos from Pixabay

ปีนเขา – เหล่านักปีนเขาจากทั่วโลกนั้นเมื่อเห็นหน้าผาชันๆ ของ Seegrube และ Hafelekar บนเทือกเขาแอลป์ แล้วก็อยากจะปีนขึ้นมาทันที การปีนเขาถือเป็นกิจกรรมยอดนิยมของที่นี่อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน โดยมีเส้นทางให้คุณเลือกถึง 40 แบบที่ความยากจะต่างกันออกไปครับ

รูปมุมสูงเมืองอินส์บรุค (Innsbruck) จาก The Nordkette
Photo by Sabrina Wendl on Unsplash

ใครที่คิดว่าสภาพร่างกายพร้อมก็สามารถจัดได้ครับ แต่ถ้าไม่มั่นใจ ผมไม่แนะนำอย่างยิ่งเลยครับ ทางผู้ให้บริการเองก็เขียนว่า “Climb at own risk” นั่นแปลว่าไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตคุณได้ครับ

Paragliding – สำหรับใครที่ชอบความหวาดเสียว ผมแนะนำให้ลองเล่นกีฬานี้ดูครับ เพราะนอกจากจะได้ท้าทายตัวเองแบบสุดๆ แล้ว คุณยังจะเห็นวิวยอดเขาแบบที่คนที่ไม่ได้เล่นไม่มีทางได้เห็นอีกด้วย

แต่ถ้าไม่เคยเล่นมาก่อนเลย หรือว่ามีปัญหาสุขภาพ ผมก็ไม่แนะนำอีกเช่นกัน เพราะแม้แต่คนที่ประสบการณ์ยังเอ่ยว่าการเล่น Paragliding ที่นี่ยากมากครับ

3. ชมสวนสัตว์ที่ Alpine Zoo

Alpine Zoo หรือ Alpenzoo ของเมืองอินส์บรูคมีสัตว์มากถึง 2,000 ตัวจาก 150 สปีชีส์ ตั้งแต่ นกอินทรี ละมั่ง หมาป่า และหมี ไปจนถึงสัตว์น้ำ (อยู่ในอควาเรียม) และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย รูปแบบสวนสัตว์ถูกสร้างให้เหมือนกับธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งช่วยให้สุขภาพสัตว์ดีเยี่ยมครับ

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเยี่ยมชมสวนสัตว์แห่งนี้คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะสัตว์จะคลอดลูกกันในช่วงนี้ครับ คุณจะมีโอกาสได้เห็นลูกหมาป่าเพิ่งออกจากท้องแม่เลยทีเดียว

ค่าเข้าชม: 12 ยูโร

4. เก็บภาพที่ย่าน Mariahilf District

Mariahilf District คือย่านที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าหลากสี (ตั้งแต่สีสันแสบตาไปจนถึงสีพาสเทล) ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำอินน์ (River Inn) และยังมี The Nordkette เป็นฉากหลังให้อีกด้วย ดังนั้นจุดนี้คือแลนด์มาร์กอันเลื่องลือของเมืองอินส์บรุคและเป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าคุณอาจจะพลาดสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งในเมืองได้ แต่ไม่ไปเก็บภาพที่จุดนี้ถือว่าพลาดจริงๆ ครับ

Image by SimonRei from Pixabay

5. Imperial Palace (Hofburg)

หลายคนอาจจะสงสัยว่ามีพระราชวังในเมืองอินส์บรุคซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ด้วยหรือ คำตอบก็คือมีครับ เพราะเมืองนี้เคยเป็นที่พำนักของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 (Maximilian I) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมีการสร้างพระราชวังแห่งนี้ (Innsbruck Hofburg) ขึ้น และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1500

พอผ่านไปอีก 250 ปี จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซาแห่งออสเตรียได้เสด็จมาอินส์บรุคและเห็นว่าพระราชวังทรุดโทรมมาก พระนางจึงโปรดให้ซ่อมแซมและบูรณะในสไตล์บารอคผสมผสานกับ Rococo ซึ่งนี่เป็นแกนหลักของตัวพระราชวังในปัจจุบันครับ เมื่อพระราชวังสร้างเสร็จแล้ว พระนางก็โปรดให้มีการเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสของ Leopold โอรสของพระนางอีกด้วย

Imperial Palace (Hofburg) ของ Innsbruck
by Allie_Caulfield, Flickr, CC By 2.0

หลังจากยุคของพระนางมาเรีย เทเรซา จักรพรรดิแห่งออสเตรียก็มักจะพักผ่อนที่นี่อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่มักจะเสด็จมาเป็นประจำเลยทีเดียว ทำให้ตัวพระราชวังได้รับการแต่งเติมและบูรณะอยู่เรื่อยๆ และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จนถึงทุกปัจจุบันครับ

ไฮไลท์ของที่นี่ประกอบด้วย

  • Crest Tower – หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของพระราชวัง โดยหลงเหลือมาจากช่วงที่พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก (ค.ศ.1500)
  • Imperial Apartments – ห้องพักและห้องต่างๆ ที่จักรพรรดิแห่งออสเตรียเคยใช้ในการพำนัก ห้องเหล่านี้มีอายุประมาณ 150 ปีครับ
  • Staterooms – มีความเป็นมาย้อนไปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 ตัวห้องได้รับตบแต่งอย่างอลังการด้วยภาพเขียนสีเฟรสโก สมกับเป็นห้องจัดเลี้ยงของหนึ่งในราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป

ค่าเข้าชม: 9.5 ยูโร

6. ยลโฉมย่านเมืองเก่า

ย่านเมืองเก่า (Altstadt) เป็นย่านเก่าแก่กว่า 800 ปีที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองอินส์บรุค ดังนั้นที่นี่จึงมีอาคารสวยๆ เก่าแก่ให้ได้ชมมากมาย โดยไฮไลท์ของย่านมีดังต่อไปนี้ครับ

by violin, standard license, depositphotos

Golden Roof หรือ Goldenes Dachl – ระเบียงและหลังคาอันเก่าแก่อายุกว่า 500 ปีแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอินส์บรุคที่มีชื่อเสียงที่สุด โดยตัวระเบียงและหลังคาได้รับการตบแต่งอย่างประณีตด้วยแผ่นทองแดงกว่า 2,600 ชิ้น ในอดีตจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนเคยใช้เป็นสถานที่เสด็จออกมาชมงานเทศกาลต่างๆ ครับ

Photo by Harold Wainwright on Unsplash

City Tower – หอคอยเก่าแก่สมัยยุคกลางที่ในอดีตเคยมีทหารประจำการเพื่อระวังภัยจากด้านนอกและด้านในเมือง ตัวหอคอยสูง 51 เมตร และมีบันได 133 ขั้นให้คุณเดินขึ้นไปจุดสูงสุดเพื่อชมวิวได้ ถ้าใครอยากชมวิวเมืองเก่าในจุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งแล้วละก็ ไม่ควรพลาดที่นี่ครับ

Helbling House – อาคารสีขาวอันสวยงามที่มีที่มาย้อนไปได้ถึงยุคศตวรรษที่ 15 แต่ได้รับการตบแต่งในสไตล์บารอคอย่างวิจิตร ทำให้โดดเด่นออกมาจากอาคารยุคกลางที่อยู่โดยรอบ โดยส่วนตัวแล้วถ้าจะบอกว่าอาคารนี้สวยที่สุดในเมืองก็ไม่ได้เกินไปเลยครับ

7. ชมโบสถ์และสุสานที่ Hofkirche

Hofkirche เป็นโบสถ์หลวงสไตล์โกธิคที่มีจุดเด่นคือด้านในจะมีรูปปั้นสีดำที่ได้รับการสร้างอย่างประณีตเรียงรายกันไปถึง 28 ตัว (8 ตัวเป็นผู้หญิง) ส่วนด้านในก็ตบแต่งอย่างสวยงามอลังการตามสไตล์ดั้งเดิมครับ

Image by Gerhard Bögner from Pixabay

นอกจากนี้ในตัวโบสถ์ยังมีสุสานของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนอยู่ด้วย ซึ่งในสุสานจะมีการเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพระองค์ อย่างไรก็ดีร่างของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ

8. ชมความงามของ St. James Cathedral

St. James Cathedral หรืออีกชื่อหนึ่ง Innsbruck Cathedral เป็นมหาวิหารหลักของเมืองและเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในอินส์บรุค โดยมีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 12 เลยทีเดียว

by Dennis Jarvis, Flickr, CC By 2.0

จุดเด่นของมหาวิหารคือได้รับการตบแต่งด้วย Fresco และ Stucco อย่างสวยงาม รวมไปถึงงานศิลป์อื่นๆ อย่างเช่น Maria Hilf ภาพเขียนรูปมาดอนน่าและบุตรที่สวยงามและโด่งดังที่สุดในยุโรปกลางครับ

นอกจากนี้ในมหาวิหารยังมีระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งคุณจะได้ยินเสียงทุกช่วงเที่ยงวันครับ

9. ชมตึกสวย ช้อปปิ้ง และจิบกาแฟที่ Maria-Theresien Strasse

Maria Theresien Strasse หรือถนนมาเรียเทเรซ่าเป็นถนนเก่าแก่อายุ 700 ปี แต่ก็ถือว่าใหม่ถ้าเทียบกับถนนในย่านเมืองเก่า ในเวลานั้นที่นี่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่มีอาคารไม่กี่หลัง แต่เมื่อชนชั้นสูงเริ่มมาสร้างบ้านที่บริเวณนี้ เพราะอึดอัดในย่านเมืองเก่า ถนนแห่งนี้จึงเจริญขึ้นมาเป็นถนนการค้าที่สำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

by pixelteufel, flickr, CC by 2.0

ในปัจจุบันถนนสายนี้มีตึกสวยๆ หลายแห่งเรียงติดๆ กันไป และมีคาเฟ่และร้านค้าหลากหลายให้นั่งพักจิบกาแฟ หรือว่าเดินช้อปปิ้งได้ ถ้าคุณชอบชมเมืองสวยๆ การมาเดินเล่นที่ถนนแห่งนี้เป็นทางเลือกที่ดีทีเดียวครับ

ปลายสุดถนน Maria-Theresian Strasse มีประตูชัย (Triumphal Arch) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมโรมัน โดยสร้างขึ้นเพื่อระลึกงานแต่งงานของ Leopold โอรสของพระนางมาเรีย เทเรซาครับ

การสร้างประตูชัยนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการระลึกถึงงานมงคล แต่ก็เป็นการระลึกถึงความเศร้าด้วยเช่นกัน เพราะจักรพรรดิฟรานซิส พระสวามีของพระนางมาเรียเทเรซาสวรรคตอย่างกะทันหันตอนที่เฉลิมฉลองงานแต่งงานของโอรสที่อินส์บรุคครับ

10. เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

อินส์บรุคมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่น่าสนใจเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ของยุโรป อาทิเช่น

  • Ferdinandeum Tyrolean State Museum – พิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุมากมายที่ค้นพบในเขต Tyrol ของออสเตรีย รวมไปถึงผลงานภาพเขียนของจิตรกรออสเตรียชั้นนำหลายคน
  • Museum of Tyrolean Folk Art – พิพิธภัณฑ์ที่จะเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาว Tyrol ในอดีต ตั้งแต่เครื่องไม้เครื่องมือ ของใช้ ไปตั้งแต่แฟชั่นในยุคนั้นครับ

11. ชมวิวและเล่น Skijump ที่ Bergisel

Bergisel เป็นหอคอยที่ออกแบบโดยสถาปนิกหญิงระดับโลกอย่าง Zaha Hadid ตัวหอคอยนั้นมีลักษณะที่โดดเด่น เพราะมีลาน Skijump พาดลงมา ซึ่งชาวเมืองก็ยกย่องว่าเป็นสุดยอดของอาคารยุคใหม่ของเมืองครับ

Bergisel ที่เที่ยวอินส์บรุคยอดนิยม
by Anibal Trejo/ShutterStock

ที่หอคอยแห่งนี้คุณสามารถใช้เป็นสถานที่ชมวิวตัวเมืองได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือมาเล่น Skijump หรือเล่นสกีลงมาจากทางลาดบนหอคอยสู่เบื้องล่าง พร้อมกับสัมผัสกับการเหินเวหาที่ปลายสุดของทางลาด ซึ่งมันส์สุดๆ ถ้าคุณชอบกีฬาสไตล์นี้ นี่เป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยครับ

12. ชม Swarovski Crystal Worlds

Swarovski Crystal Worlds หรือ Swarovski Kristallwelten เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวระดับไฮไลท์ของเมืองอินส์บรุคและประเทศออสเตรีย

ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดง Crystal Cloud ที่ทำมาจากคริสตัลถึง 800,000 ชิ้น และยังมีสระกระจก (Mirror Pool) ที่มีแสงคริสตัลระยิบระยับไม่ต่างอะไรกับดาวในธรรมชาติเลยทีเดียว เช่นเดียวกับงานศิลป์อีกมากมายที่ทำมาจากคริสตัลครับ

by bloodua, standard license, depositphotos

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสวนที่มีหน้ายักษ์บ้วนน้ำออกมาลงสระน้ำอีกด้วย ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ

อย่างไรก็ดีพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 20 กิโลเมตร วิธีการไปที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถบัสไปครับ

13. ยลความงาม Ambras Castle

Ambras Castle เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่นอกเมืองอินส์บรุค ในปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษางานศิลปะรวมไปถึงชุดเกราะอายุ 500 ปีมากมายครับ นอกจากนี้ด้านในก็ยังตบแต่งด้วยเฟรสโกอย่างสวยงามด้วย

Ambras Castle สถานที่เที่ยวอันดับต้นๆ ของอินส์บรุค

แต่ที่เป็นไฮไลท์คือห้องอาบน้ำของอาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ เจ้าของปราสาท เพราะว่าห้องน้ำจากยุคศตวรรษที่ 16 ไม่ค่อยหลงเหลือมาให้เราศึกษาเท่าไรนัก ดังนั้นถ้าคุณชอบประวัติศาสตร์ และรู้สึกสนใจก็สามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ครับ

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสวนสวยๆ ที่มีจุดถ่ายรูปอันสวยงามหลายแห่งอีกด้วย

14. ลองชิมอาหารสไตล์ Tyrolean

เมื่อได้เดินทางมาที่นี่แล้ว คุณจะพลาดชิมอาหารรสเด็ดสไตล์ Tyrolean ของที่นี่ไม่ได้เลยครับ เมนูที่ผมมองว่าน่าสนใจได้แก่

  • Marend – เนื้อและไส้กรอกรมควันรสชาติเยี่ยม เหมาะกับการกินกับขนมปังเป็นที่สุด
  • Speckknodel – แป้งยัดไส้เบคอน (คล้ายๆ กับเกี๊ยว) เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาอาหารสไตล์ Tyrolean เลยครับ
  • Grostl – มันฝรั่งผัดกับเบคอนและหัวหอมใหญ่และโปะหน้าด้วยไข่ดาว เมนูนี้อร่อยและเหมาะกับการกินเป็นอาหารเช้าสุดๆ
  • Strauben – แพนเค้กสไตล์ Tyrolean ที่เป็นปู่ทวดของ Funnel Cake ในปัจจุบัน

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwat
ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะถ้าทริปนั้นได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่จ่ายไป ทั้งนี้ผมรักที่จะค้นหาธรรมชาติ ศึกษาวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่เดินทางไปครับ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าไป

โรงแรมน่าจอง

error: Content is protected !!