มาดาบา (Madaba) เป็นเมืองที่อยู่ตอนกลางของประเทศจอร์แดน ตัวเมืองมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของโมเสกจากยุคไบแซนไทน์
จากที่ผมได้เคยไปที่นี่มาแล้ว โมเสกของมาดาบาจัดว่าสวยงามมาก และน่าจะสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่ควรมาเยือนเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวคริสต์หรือใครที่ชอบประวัติศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ในบทความนี้ ผมจะแนะนำความเป็นมาของเมืองนี้ให้ทราบกันคร่าวๆ ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ
ความเป็นมาของเมืองมาดาบา (Madaba)
มาดาบาเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคสำริด (4,000-5,000 ปีมาแล้ว) และยังปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลอีกด้วย
อย่างไรก็ตามตัวเมืองไม่ได้มีบทบาทใดๆ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ นอกจากในช่วงไบแซนไทน์ที่มีชุมชนชาวคริสต์ที่ใหญ่ระดับหนึ่ง (ถึงขนาดที่มีบิชอปของตนเอง) ซึ่งช่วงนี้เองที่งานโมเสกต่างๆ ได้ถูกสร้างขึ้นครับ
ตัวเมืองน่าจะถูกทิ้งร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 เพราะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหว แต่นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โมเสกอันสวยงามหลงเหลือมาถึงปัจจุบันในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมากครับ
ในช่วงปี ค.ศ.1896 บาทหลวงคริสต์ชาวอิตาเลียนสองคน และชาวอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์อีก 90 คนได้เดินทางมาอาศัยที่นี่ สิ่งนี้เองทำให้มาดาบากลับมาเป็นเมืองอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันมาดาบามีผู้อยู่อาศัยประมาณ 60,000 คน และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของจอร์แดนครับ
ข้อควรทราบ
การเดินทางมายังมาดาบาทำอย่างไร?
- เช่ารถ – มาดาบาห่างจากกรุงอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดนประมาณ 30 กิโลเมตร ดังนั้นคุณสามารถเช่าและขับรถมาเที่ยวที่นี่ได้ไม่ยาก วิธีนี้ถือว่าดีที่สุด เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งในมาดาบาอย่างเช่นภูเขาเนโบนั้นไม่มีรถรับส่งใดๆ ครับ
- ซื้อ Private Tour – คุณสามารถซื้อทัวร์เต็มวันได้จากเว็บไซต์อย่าง GetyourGuide ซึ่งทัวร์เหล่านี้จะรับคุณไปเที่ยวมาดาบาจากอัมมาน และพามาส่งที่โรงแรมในตอนเย็น ไม่เพียงเท่านั้นบางทัวร์จะรวมทะเลเดดซีไปด้วยเลย ทำให้คุณไม่ต้องหาวิธีไปเที่ยวเดดซีอีกต่อหนึ่งครับ
- แท็กซี่ – วิธีที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากง้อทัวร์และขับรถเอง แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูง
- รถบัส – คุณสามารถนั่งรถบัสจากอัมมานไปยังมาดาบาได้ในราคาประมาณ 1 ดีนาร์ (50 บาท) แต่คุณต้องนั่งแท็กซี่จากมาดาบาไปยังยอดเขาเนโบอยู่ดี เพราะไม่มีขนส่งสาธารณะไหนที่เดินทางไปยังที่นั่นครับ
1. ยอดเขาเนโบ (Mount Nebo)
ยอดเขาเนโบ (Mount Nebo) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆ ของคริสตศาสนา บริเวณยอดเขาเป็นจุดที่โมเสสมองเห็นดินแดนพันธสัญญาก่อนที่จะสิ้นชีวิตลงที่นี่ ผู้แสวงบุญจำนวนมากจึงเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ตลอดทั้งปีครับ
จากจุดชมวิวคุณจะได้เห็นวิวของดินแดนพันธสัญญาเหมือนกับที่โมเสสเห็น ซึ่งรวมถึงหุบเขาจอร์แดน (Jordan Valley) เมือง Jericho หรือแม้กระทั่งนครเยรูซาเลม แต่เมืองสุดท้ายต้องอาศัยฟ้าเปิดเสียหน่อยครับ
ตอนที่ผมไปถือว่าวิวสวยทีเดียว แม้วันนั้นท้องฟ้าจะมืดครื้มก็ตามครับ
ตรงบริเวณจุดชมวิวจะมีรูปปั้นชื่อ The Brazen Serpent ซึ่งสร้างตามรูปปั้นงูทองเหลืองในพระคัมภีร์ไบเบิลที่โมเสสสร้างขึ้นเพื่อป้องกันโรคระบาด ตามตำนานเล่าว่าใครที่ป่วยมองงูตัวนี้ คนผู้นั้นจะปลอดภัยจากโรคต่างๆครับ
จุดสูงสุดของยอดเขาจะมีมหาวิหารเก่าแก่ (Moses Memorial Church) ซึ่งอุทิศให้กับโมเสสตั้งอยู่ ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคไบเซนไทน์ ดังนั้นอายุมากกว่า 1,500 ปี แม้ว่าจากด้านนอกจะดูใหม่ (เพราะสร้างครอบโครงสร้างเดิม) แต่ด้านในมีโมเสสอันสวยงามให้เดินชมจำนวนไม่น้อย
ใกล้กับยอดเขาเนโบยังมีพิพิธภัณฑ์อีกด้วย หรือ La Storia Tourism Complex ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชมโบราณวัตถุต่างๆ ครับ
2. โบสถ์เซนต์จอร์จ
โบสถ์เซนต์จอร์จ (St.George’s Church) เป็นโบสถ์ในคริสตจักรกรีกออโธดอกซ์ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า Church of the Map เพราะว่าที่นี่มีโมเสกขนาดใหญ่ที่เป็นแผนที่โบราณนั่นเอง
จากแผนที่ขนาดใหญ่นั้น คุณจะเห็นนครเยรูซาเลม เบธเลเฮม ทะเลเดดซี ที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ ฯลฯ แต่ละแห่งมีชื่อสถานที่ในภาษากรีกปรากฏอยู่ ซึ่งจากตรวจสอบของนักประวัติศาสตร์พบว่ามีความแม่นยำอย่างมาก ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีถ่ายภาพทางอากาศเลยด้วยซ้ำไปครับ
นอกจากนี้ตัวโมเสกที่เราเห็นยังเป็นแค่ 25% เท่านั้นถ้าเทียบกับของเดิม แสดงให้เห็นว่าของเดิมต้องใหญ่โตมากเลยทีเดียว
โมเสกนี้มีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 6 แต่ตัวโบสถ์นั้นเป็นของศตวรรษที่ 19 ที่สร้างบนโครงสร้างโบสถ์ไบแซนไทน์เดิมที่มีอายุเกือบ 1,500 ปีครับ
3. อุทยานประวัติศาสตร์มาดาบา
อุทยานประวัติศาสตร์มาดาบา (Madaba Archaeological Park) เป็นพิพิธภัณฑ์แบบ open-air ที่ประกอบด้วยโบราณสถานและซากปรักหักพังหลายแห่ง โดยตัวอุทยานแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันครับ
ส่วนตะวันออกประกอบนั้นไฮไลท์อยู่ที่ Virgin Mary Church และ Hippolytus Hall ซึ่งมีโมเสกที่ประณีตและวิจิตรให้ได้ชมกัน โมเสกเหล่านี้มีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วงศตวรรษที่ 6 เรียกได้ว่าเก่ามากเลยทีเดียว
ส่วนฝั่งตะวันตกนั้นจะมีซากปราสาทโบราณ (Burnt Palace) ที่ถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวตั้งอยู่
4. Apostles Church
Apostles Church หรือโบสถ์อัครสาวกเป็นโบสถ์ที่มีโมเสกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของมาดาบา และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก เพราะรอดพ้นจากเหตุการณ์การทำลายรูปเคารพทางศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 8 อีกด้วย
บริเวณกำแพงของโบสถ์มีรูปแกะสลักของอัครสาวก 12 รูปของพระเยซูประดิษฐานอยู่ให้ได้ชมกันอีกด้วยครับ
5. ชมวิวทะเลเดดซีที่ Mukawir
สำหรับใครที่เช่ารถมาจากกรุงอัมมาน คุณสามารถขับรถไปชมวิวได้ที่โบราณสถาน Mukawir ซึ่งห่างจากมาดาบาไปประมาณ 30 กิโลเมตรครับ ในอดีตที่นี่เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ แต่ด้วยกาลเวลาและภัยธรรมชาติทำให้เหลือแต่เพียงซากปรักหักพังเท่านั้น
อย่างไรก็ดีที่นี่เป็นจุดชมวิวทะเลเดดซีที่สวยไม่เบา นอกจากนี้คุณยังสามารถเห็นหุบเขาโดยรอบได้อย่างสวยงามด้วยครับ
6. หาซื้อพรมสวยๆ
พรมจากเมืองมาดาบานั้นเป็นพรมคุณภาพเยี่ยมที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน ตัวพรมมีเนื้อผ้าที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีสีสันสวยงามและลวดลายที่วิจิตร เหมาะอย่างยิ่งต่อการประดับบ้าน
ร้านขายพรมนั้นมีอยู่หลายแห่งในเมือง แต่ร้านชื่อ Carpet City จัดว่ามีชื่อเสียงที่สุดครับ
7. ดื่มน้ำทับทิม
ในตอนที่ผมได้มาเยือนมาดาบานั้น ผมได้มีโอกาสดื่มน้ำทับทิมสดที่นี่ครับ ผมบอกได้เลยว่าเรื่องรสชาตินั้นเหนือกว่าที่เคยกินที่ไทยไปอีกหลายระดับเลย
ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนไม่ชอบผลไม้ชนิดนี้เลย แต่น้ำทับทิมของที่นี่อร่อยมากจริงๆ เวลาเดินมาเหนื่อยๆ แล้วได้ดื่มน้ำทับทิมเย็นๆ คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเลยครับ
References
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในจอร์แดน
ผมได้เขียนบทความแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจุดอื่นๆ ของจอร์แดนไว้แล้วเช่นกัน ถ้าสนใจสามารถอ่านต่อได้ครับ